วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เบื่อโฆษณาแฝง ตอนเชียร์กีฬา

จากการนั่งอ่าน ในFB ของเพื่อน มีแต่ประเด็น เรื่องมวย ..
เรื่องวันแม่กลายเป็นเรื่อง รอง ลงมาเลย...

มวยมันจะแพ้ หรือชนะ มันเป็นเพียงกีฬา...
การชกมวย ครั้งนี้ มันบอกถึง มาตรฐาน ระดับโลก มันคืออะไร ?

โลก ทุกวันนี้ มันไม่เท่าทียม ยุติธรรม เลย...

เพราะกีฬา เป็นเรื่องการเมือง..เรื่องเศรษฐกิจ...

เชียร์มวย ที่บ้าน ของนักมวยทั้งเมีย และ แม่ เจอแต่สปอนเซอร์ โฆษณา เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม 
แถมมีการเต้นโคโยตี้ ด้วย...ไปกันใหญ่ มาเชียร์มวยหรือมาดูสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ลูกเด็ก เล็ก แดง ซึมซับสิ่งไม่ดี และโฆษณาแฝงเยอะไปหมด...

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยจะจำกัดสื่อโฆษณาแฝงพวกนี้...

หรือ จะให้บ้านอื่นเมืองอื่นเขาดูถูกประเทศไทย ซื้อของ บ้าเห่อเพราะ โฆษณา ไม่ได้ดูคุณภาพของสินค้า...

วันนี้อ่านหนังสือนิตยสารการตลาด ผู้บริหาร ของห้างฟอนิเจอรายใหญ่ แถวประเทศเมืองหนาวมาเปิดเมืองไทย...

เขาบอกว่าเมืองไทยเป็นตลาดมีสีสัน เพราะคนกำลังซื้อของเพื่ออวดรวย อวดบารมี และนิยมความทันสมัย..

ซึ่งเขาเปรียบเทียบว่าบ้านเขา ไม่ใช่แบบนี้ ซื้อของตามใช้งานและประโยชน์ใช้สอย..

และสรุปว่า บ้านเราการตลาดมีสีสัน กว่าบ้านเขาเยอะ...

อันนี้เป็นมุมมองฝรั่งมองเรา...ลองๆนึกดู... เห่อๆ ประเทศไทยจงเจริญ นักธุรกิจยังอาศัยการตลาดมามอมเมาเยาวชน....

อยากได้เงินเยอะ...ต้องมั่นฝึกซ้อม...

ฉันนี่แหละผู้สนับสนุน รายใหญ่...

บริษัทผู้ใจบุญทั้งหลาย ครับ...ถ้าอยากสนับสนุน เชิญสนุับสนุน ตั้งแต่เขาเก็บตัวฝึกซ้อม...ไม่ใช่มาหาผลประโยชน์ ตอนเขาประสบความสำเร็จ...แล้วคนที่ทำเพื่อชาติหลายคนไม่ประสบความสำเร็จ คืออะไร...

คุณต้องเข้าไป ดูแล ตั้งแต่เขาเริ่มต้น..การกีฬาไทยถึงจะพัฒนามากกว่านี้...ไม่ตกต่ำ และมั่วโทษ นั้นโทษนี้...หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง...

ก็เป็นเพราะพวกเราทุกคนนี้ไม่ใช่หรือสนับสนุน นักกีฬาแบบผิดๆ...และฉกฉวย โอกาสโฆษณาสินค้าและผลประโยชน์ต่างตอบแทน...

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทักษะเบื้องต้นการประสานงาน


คอนแบคได้กล่าวไว้ว่า “ความรู้  คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์

มันอาจเป็นคำนิยามกว้างๆ ยังไม่ลงซึ่งรายละเอียดว่ามันคืออะไร อย่างไร แต่มันสอดคล้องที่จะอธิบายตน ว่ากระมีความรู้อะไรบ้าง

หากดูในนิยามของ คอนแบค จะมีคำสำคัญอยู่ 3 คำ คือ

1.การเปลี่ยนแปลง
2.พฤติกรรม
3.ประสบการณ์

การที่คนเราได้เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง และได้สัมผัส โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส  ทำให้เกิด การได้เห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ลิ้มรส   การได้สัมผัส  สิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดีเกิดการเรียนรู้และสะสมเป็นความรู้ในชุดหนึ่งในตัวของเรา


หลายท่านอาจมากว่า การประสานงาน เป็นอาชีพได้ด้วยเหรอ ?  แล้วทำอะไรบ้าง?
การประสานเป็นหัวใจของทุกองค์กร ที่ทำงาน ไม่ว่าหน่วยงานไหน แต่อาจแทรกในตำแหน่งต่างๆเพราะทุกอย่างมนุษย์ทำงานร่วมกันต้องติดต่อประสานงานกัน เพื่อให้เกิดงานและบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน แต่หากในที่นี้จะกล่าวโดยเฉพาะคือ ตำแหน่งประสานงาน เพราะเปรียบเสมือนจุดเชื่อม การทำงาน โดยการสื่อสารภายใน ในภายนอกขององค์กรให้เกิดการเรียนรู้ การทำงาน ขับเคลื่อนองค์กรให้สู่เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ ขององค์กรให้สำเร็จได้
            การประสานงาน นั้นใช่ว่าทุกคนจะทำได้เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะ ความรอบด้าน ประสบการณ์ โดยต้องเข้าใจสถานการณ์รอบด้าน และมองทุกอย่างให้ ทะลุปรุโปร่ง เหมือนที่ รศ.รังสรรค์แสงสุข อดีตอธิการบดี รามคำแหงบอกต้องมองแบบ “ ซีทรู”  คือเห็นทุกมิติ เข้าใจทุกแก่นสาร

ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งของนักประสานงาน    

ประการแรก คือ การสื่อสาร เพราะการสื่อสารเป็นหัวใจ ของการติดต่อประสานงาน การทำงานงานร่วมกันทั้งภายในภายนอกองค์กร ต้องมีทักษะการสื่อสาร ทั้งจิตวิทยาของผู้สื่อสารและการรับสาร หากขาดหัวใจ ส่วนนี้แล้วย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดล้มเหลวในการทำงาน            
ประการที่สอง คือ ทักษะการเป็นนักกระบวนการ คือ การจัดประชุม สัมมนา ดึงการมีส่วนร่วม จากผู้ที่ทำงานร่วมกันและผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอด ความรู้ หรือจุดประสงค์ของการทำงาน อาจเป็นโครงการ หรือยุทธศาสตร์ ทักษะตรงนี้สำคัญมาก            
ประการที่สาม คือ ทักษะด้านจิตวิทยา คือ การเห็นปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น งานด้านติดต่อประสานงานเป็นงานที่อาศัยความรอบด้านด้าน เหมือนที่กล่าวมาข้างตน การที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนได้เสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นมาก หากปรับเปลี่ยนไม่ทันก็อาจทำให้งานนั้นล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จได้            
ประการที่สี่ คือ เป็นนักแสวงหาความรู้ คือ เท่าทันความรู้ นวัตกรรมใหม่ๆ โดยสามารถนำเสนอและแลกเปลี่ยนได้ในที่ประชุม ซึ่งการเป็นนักแสวงหาความรู้นี้จะเป็นการเติมเต็มงานและเสนอสิ่งใหม่ๆให้เกิดการขับเคลื่อนประสานงานและพัฒนาได้          

สิ่งเหล่านี้ได้มาจากไหน? อย่างไร นำไปใช้ประโยชน์อย่างไร             สิ่งเหล่านี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ได้มาจาก ประสบการณ์ จากการทำงาน ก่อนจะได้ประสบการณ์เหล่านี้ คือ โอกาส  ซึ่งหมายถึง การได้ทำงานและสะสม จนเกิดเป็นทักษะโดยหมั่นฝึกฝนเรียนรู้ ถอดบทเรียนทั้งด้วยตนเอง และประชุมกับผู้ร่วมงาน ให้เกิดการสะท้อน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนเกิดเป็นความชำนาญ ความเป็นนักวิชาชีพ  โดยการประสานงานจะเป็นอาชีพที่เกื้อกูลตัวเราและองค์กร พัฒนาองค์กร สิ่งที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ของนักประสานงาน คือพัฒนาตนเองสม่ำเสมอและเป็นนักแสวงหาความรู้นวัตกรรมเสมอ ด้วยเหตุผลที่ได้อธิบายทั้ง4ประการ คุณก็จะเป็นนักประสานงาน

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เจริญแบบไหน หน้อ เชียงราย

คนหลายคนหนีกลับไปอยู่บ้านที่เชียงราย หรือย้ายไปอยู่ เชียงรายเพื่อจะได้อยู่แบบสงบ ธรรมชาติ...

แต่เอาเข้าจริง เจอทั้งปัญหาหมอกควัน และความเจริญที่กำลังเจริญแบบไม่ลืมหูลืมตาแบบไร้ทิศทาง..โดยเฉพาะการเข้ามากอบโกยของทุนส่วนกลาง และต่างชาติ 

คงตามกระแสโลก...ถ้ากระแสโลก ไม่เปลี่ยน เป็น วิถี ชีวิต ที่เรียบง่าย...เพราะตอนนี้มีแต่ทุนนิยม...
มือใครยาว สาวได้สาวเอา..บริษัทใหญ่ๆ มาลงทุนช่องทางหารายได้และเติบโตของบริษัท..เพราะใน กทม. เต็มแล้ว...จึงมาขุดทอง ตจว.

ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัล ตอนนี้มี 18 สาขา อนาคตปี 58 ตั้งเป้า 30 สาขา ส่วน MBK เขาก็มีแผนเหมือนกัน ส่วนเดอะมอลล์ก็มีแผน อาจช้าหน่อย เพราะไม่ใช่บริษัทมหาชน บริหารโดยครอบครัว บริหารแบบชิลๆ สร้างทุกที่ต้องดังและเติบโตไม่ต้องกระตุ้นตลาดอีเว้นเยอะ ไม่หวังยอดโต 15 % ต่อปี เหมือนบางบริษัท

ลงนึกภาพดู ภาพโรงงานนรกเกิดขึ้น...คนท้องถิ่นเข้ามาทำงานห้าง ลืมอาชีพเดิม ลืมความสุขที่ได้ทำงานอยู่กับครอบครัว....ทำงาน 9โมง ห้างปิด 3 ทุ่ม มีเวลาพัก 1-2 วัน เวลาอยู่กับครอบครัวอยู่ตรงไหน?

ห้างเหล่านี้แหละสร้างไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมของวิถีชีวิตคนเมือง...จับตาดูกลยุทธและวิธีการตลาด ดีๆ ครับ...ประโยชน์อาจตกอยู่กับเรา..แต่เราได้มากหรือน้อย...

"มีคนกล่าวว่า คนไทยซื้อสินค้าตามโฆษณา ฝรั่งซื้อสินค้าตามฉลาก บริษัทต่างๆจึงโหมโฆษณาสินค้า เพราะคนไทยเชื่อเพราะเขาบอก กลยุทธนี้จึงใช้ได้ดี..."

มันเป็นคำหลอกด่า...คนไทยดีๆนี่เอง

รอดูต่อไป AEC ปี 58 ใครมาบ้าง แต่รับรองทุนใหญ่ๆผุดเหมือนดอกเห็ดแน่...

เราอาจได้มาร้องเพลง เชียงรายรำลึก นึกถึง วัฒนธรรมเดิมๆบ้านเฮา...บ้านนอกเจียงฮาย..

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปลุก ความบ้าน ในตัวคุณ


พูดไป หลายคนอาจไม่เชื่อ....

- ผมเป็นคนที่บ้าตึกมาก......ชอบตึก รามบ้านช่อง..
ชอบการออกแบบห้างสรรพสินค้า....จนมีคนแซวว่าผมเป็นเขยเซ็นทรัล...รู้เรื่องต่างๆ และเก็บภาพทุกที่มาหมด...
วันไหนที่ผมไม่เสพข้อมูลพวกนี้ ผมจะอึดอัด..กระวนกระวาย เหมือนคนลงแดงติดยา...

- ผมเป็นคนชอบดูหนังในโรงภาพยนตร์มาก...ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ไปผมจะรู้สึก ไม่มีพลัง และสูญเสียโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์

- ผมเป็นคนบ้าที่ชอบ นั่งฟังคนพูด มาก...หลายคนอาจมองว่าน่าเบื่อ แต่คนที่พูดโดยเฉพาะอาจารย์ที่เก่งๆ นำประสบการณ์ชีวิตมาเล่า....เชื่อไหม ในเจ็ดวันของสัปดาห์ ผมเคยมี นั่งเรียน ตั้งแต่ 07.30 - 3 ทุ่ม..บ่อยๆ...
มันมีความสุข..ที่ได้ฟังความรู้ของคนที่มันตกทอด รุ่นต่อรุ่น มันเป็นอารยธรรมโลก.ที่เชื่อมโยงกัน.เป็นสิ่งที่น่าจดจำ เป็นเรื่องเล่าที่สุนทรียะมาก....

- ผมชอบมีเพื่อนที่หลากหลายกลุ่ม ผมเป็นเพื่อนได้กับทุกคน เพราะจะทำให้ผมได้แลกเปลี่ยน หลายอย่างๆ เช่น วิธีคิด มุมมอง เพราะทุกคนหลอหลอม มาต่างกัน..ยิ่งเราอยู่ความหลากหลาย ยิ่งทำให้เราเห็นมิติ ที่หลายๆมุม 

- ผมไม่เคยโกรธใครได้นานเกิน 30 นาที...เวลาผมโกรธใครสิ่งที่กลับมาย้อนดูสิ่งแรก คือย้อนกลับมาดูที่ตัวเรา..ว่าไม่ตรงกับจริตเราตรงไหน..นั้นคือเหตุแห่งทุกข์และความขัดแย้ง.............

อ่านหนังสือก่อน...แล้วเจอกันวัน...พรุ่งนี้ที่สดใส หลังฝนตก

29 มิถุนายน 55

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

คนสื่อสารกับตนเองน้อยลง




การได้ทำอะไรคนเดียว ได้คิด ได้ฝึก ได้เรียนรู้จัก ตนเองมากขึ้น ทำให้เรา...มีลมหายใจเพื่ออนาคต ความหวัง..และแรงบันดาลใจ 




ผมคิดว่าคนปัจจุบัน ใช้ชีวิตนี้ สื่อสารกับตนเองน้อยลง ไปมาก เน้นแต่การสื่อสารแต่กับคนอื่น...ยุ่ง วุ่นวายกับเรื่องคนอื่นต้องการความสนใจ และความใสใจจากคนอื่น..ทั้งที่ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกคนอื่นกับตนเอง ว่ามันสัมพันธ์อย่างไร




สิ่งที่ตามมา คือการสื่อสารกับคนอื่น ที่มากเกินไป ทำให้ตนเองหมดพลัง ลดคุณค่า ถ้าประเมิน ว่าสิ่งที่สื่อสารไปกับสิ่งที่กลับมามันไม่สมดุลกัน


ผมชอบช่วงเวลา การได้อยู่คนเดียว..การได้พูด อ่าน เขียนจดบันทึกไว้ การได้เสพศิลปะ โดยเฉพาะภาพยนตน์ ทำให้เราได้คิดทบทวน..บทเรียนและความงาม สิ่งที่ผิด หรือถูกต้องที่ผ่านมา...

การที่เราได้อยู่คนเดียวบ่อยๆ จึงเป็นการเติมพลัง ทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตในแต่ละวันมันมีความหมาย...สร้างคุณค่าความหวังและความฝัน ..ทำให้ผมเกิด สติ และสมาธิ..และไม่ล้าในความมุ่งมั่น ในการคิดและทำอะไร...



แทนที่จะมานั่ง พิมพ์ บ่น-ชม -ชอบ -ไม่ชอบ- เกลียด.ไม่เกลียด ฯลฯ 



จนบางครั้ง ผมเห็นบางคนทำทุกวันจนเป็นนิสัย และแสดงออกทาง เฟซบุ๊ค...^^ มันอาจเป็นตัวอย่างว่า.."เราต้องการเพื่อนตลอดเวลาขนาดนั้นเลยเหรอ..แทนการได้อยู่กับคนเองบ้าง"





ปล.ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี้ไม่มีเจตนาเจาะจงว่าใคร..เพียงมองเห็นความเป็นไป ใน FB

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

โครงการใหม่ เซ็นทรัลพลาซา ปี 2555-2556

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี


พบกับความแปลกใหม่ของการช้อปปิ้งสไตล์รีสอร์ทที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานนี (The most complete lifestyle shopping center in the south ) บนศูนย์รวมความทันสมัยแห่งใหม่ล่าสุด ครบครันด้วยสินค้า และบริการหลากหลายสไตล์ รายลอมด้วยธรรมชาติแบบ Tropical Architectural Design บนพื้นที่กว่า 130,000 ตร.ม. และมูลค่าโครงการถึง 3,000 ล้านบบาท พร้อมเปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งรูป
แบบใหม่เร็วๆนี้ ในเดือนตุลาคม 2555




พื้นที่โครงการ : 62 ไร่

พื้นที่โครงการ (GFA) : 130,000 ตร.ม.

รูปแบบสถาปัตยกรรม : ล้ำสมัยด้วยการออกแบบ ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกชั้นนำของประเทศไทย การันตรีด้วยรางวัล Best of the best shopping center design award จาก ICSC โดยใช้ Glass Façade และ skylight นำแสงธรรมชาติเข้าสู่อาคาร เพื่อเพิ่มบรรยากาศในการช้อปปิ้งมากยิ่งขึ้น

ความครบครั้นทันสมัยตอบสนองไลฟ์สไตล์

- ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน Top market, Power Buy ,super sport , B2S
-สมบูรณเพียบพร้อมด้วยแหล่งรวมแฟชั่นแบรนด์ดังจากทุกมุมโลกกว่า 100 ร้านค้า และศูนย์รวมเมนูความอร่อยหลากสไตล์ กว่า 60
- สวนสนุก Fun Planet
- mini Zoo สวนสัตว์ขนาดเล็ก
- โรงภาพยนตร์เอสเอฟซิเนม่าซิตี้
- ศุนย์ประชุมครบวงจร สุราษฎร์ธานี ฮอลล์


ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาลำปาง

สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งความงาม กับต้นแบบไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ล่าสุดของภาคเหนือ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1,850 ล้านบาท บนพื้นกว่า 90,000 ตร.ม. สง่างามด้วยการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีความเป็นเอกลักษณ์แปลกตาด้วยแรงบันดาลใจ จากการเจาะลายฉลุผสมผสานกับรูปแบบกราฟฟิกประยุกต์สุดโมเดิร์น พร้อมเปิดบริการในเดือนธันวาคม ปี 2555


เซ็นทรัลพลาซาลำปาง เปิดธันวาคม 2555

Positioning : ไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของภาคเหนือ

พื้นที่โครงการ : 39 ไร่

พื้นที่โครงการ (GFA) : 90,000 ตร.ม.

มูลค่าโครงการ : 1,850 ล้านบาท

รูปแบบสถาปัตยกรรม : สง่างามด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์แปลกตาด้วยแรงบันดาลใจ การเจาะลายฉลุผสมผสานกับรูปแบบกราฟฟิกประยุกต์สุดโมเดิร์น


ความครบครันทันสมัยตอบสนองไลฟ์สไตล์
- ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน Top market, Power Buy ,super sport , B2S
- สมบูรณเพียบพร้อมด้วยแหล่งรวมแฟชั่นแบรนด์ดังจากทุกมุมโลกกว่า 100 ร้านค้า และหลากหลายร้านอาหาร
- สวนสนุก Fun Planet
- โรงภาพยนตร์ระดับโลก





ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาอุบลราชธานี


เบิกบานทุกไลฟ์สไตล์ทันสมัย กับช้อปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ล่าสุดของภาคอีสานตอนใต้ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2,750 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 140,000 ตร.ม. โดดเด่นด้วยความงดงามของการออกแบบอันสุดอ้อนช้อย ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรง เส้นสายของดอกบัว เส้นสายของใบบัว และกลีบดอกบัว จนเข้ากันอย่างกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมสุดโมเดิร์น พร้อมเปิดเมษายน ปี 2556



เซ็นทรัลพลาซาอุบลราชธานี เปิด เมษยายน 2556

Positioning : ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่ใหญ่และดีที่สุดของอีสานตอนใต้ เป็นประตูสู่อินโดจีน “Gateway to Indochina”

พื้นที่โครงการ : 76 ไร่

พื้นที่โครงการ (GFA) :  140,000 ตร.ม.

มูลค่าโครงการ : 2,750 ล้านบาท

รูปแบบสถาปัตยกรรม : โดดเด่นด้วยความงดงามของการออกแบบอันสุดอ้อนช้อย ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรง เส้นสายของดอกบัว เส้นสายของใบบัว และกลีบดอกบัว จนเข้ากันอย่างกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมสุดโมเดิร์น

ความครบครนทันสมัยตอบสนองไลฟ์สไตล์

- ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน Homeworks Top market, Power Buy ,super sport , B2S,
- สมบูรณเพียบพร้อมด้วยแหล่งรวมแฟชั่นแบรนด์ดังจากทุกมุมโลกและLifestyle Restaurant  ครับครัน
- สวนสนุก Fun Planet
- โรงภาพยนตร์ระดับโลก


ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่

มิติใหม่แห่งการช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดสงขลา ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 250,000 ตร.ม. โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมออกแบบที่ทันสมัยและอลังการด้วยแรงบันดาลใจจากรูปทรงของคริสตัล และการหักเหของแสงของปรึซึมผสานกับรูปแบบกราฟิกสุดโมเดิร์น พร้อมประสบการณ์ใหม่ช้อปปิ้งเดือนตุลาคม ปี 2556


เซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ เปิด ตุลาคม 2556

Positioning : the most luxury lifestyle shopping  complex in southern  Thailand

พื้นที่โครงการ : 50 ไร่

พื้นที่โครงการ(GFA) :  250,000 ตร.ม.

มูลค่าโครงการ : 6,000 ล้านบาท

กำหนดเปิดบริการ : ตุลาคม 2556

รูปแบบสถาปัตยกรรม : โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมออกแบบที่ทันสมัยและอลังการด้วยแรงบันดาลใจจากรูปทรงของคริสตัล และการหักเหของแสงของปรึซึมผสานกับรูปแบบกราฟิกสุดโมเดิร์น


ความครบครันทันสมัยตอบสนองไลฟ์สไตล์

- ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Top market, Power Buy ,super sport , B2S
- พร้อมด้วยเต็มชีวิตให้สนุกสนุกสนาน และบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยสินค้าและบริการสุดทันสมัย จากแฟชั่นแบรนด์ดังกว่า 250 ร้านค้า และหลากหลายด้วยร้านอาหารดัง
- 10 โรงภาพยนตร์มาตรฐานระดับโลกและ 1 โรงภาพยนตร์ IMAX 3มิติ
- ลานสเก็ตน้ำแข็ง
- สวนสนุก Fun Planet
- ฟิตเนสเซ็นเตอร์
- พร้อมด้วยศูนย์บริการครบวงจรแห่งใหม่แห่งเดียว และ คอนเวนชั่นฮอลขนาดใหญ่ที่สุดของภาคใต้ที่อยู่ในศูนย์การค้า


ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

สีสันใหม่ของเมืองเชียงใหม่ และจุดมุ่งหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวและนักช้อปในภาคเหนือ ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการกว่า 6000 ล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์ “ฟิวเจอริสติคล้านนา” ผสานกับความเป็นธรรมชาติ โดยนำเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานและความเป็นมิตรต่อสิงแวดล้อมมาใช้ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่เหนือระดับในเดือนพฤศจิกายน ปี 2556
เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่ เปิด พฤศจิกายน 2556

Positioning : the most luxury lifestyle shopping  complex in northern  Thailand
พื้นที่โครงการ : 68 ไร่

พื้นที่โครงการ(GFA) :  250,000 ตร.ม.

มูลค่าโครงการ : 6,000 ล้านบาท

กำหนดเปิดบริการ : พฤศจิกายน 2556

รูปแบบสถาปัตยกรรม : โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์ “ฟิวเจอริสติคล้านนา” ผสานกับความเป็นธรรมชาติ โดยนำเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานและความเป็นมิตรต่อสิงแวดล้อมมาใช้

ความครบครันทันสมัยตอบสนองไลฟ์สไตล์

- ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Top market, Power Buy ,super sport , B2S
- ตอบทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เติมเต็มชีวิตของคุณให้มีสีสันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยสินค้าและบริการสุดทันสมัย จากแฟชั่นแบรนด์ดังกว่า 250 ร้าน ร้านอาหารไลฟ์สไตล์ทั้ง Indoor และ Outdoor อีกกว่า 60 ร้าน
- 10 โรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ พร้อมด้วย 1 โรงภาพยนตร์ IMAX 3มิติ
- ลานสเก็ตน้ำแข็ง
- สวนสนุก Fun Planet
- ฟิตเนสเซ็นเตอร์
- พร้อมด้วยศูนย์บริการครบวงจรแห่งใหม่แห่งเดียว และ คอนเวนชั่นฮอลขนาดใหญ่ที่สุดของภาคเหนือที่อยู่ในศูนย์การค้า

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

พระอาทิตย์คืนแรม (ที่มาของเรื่อง)

โดย อาณาจักร โกวิทย์

วันนี้นั่งเรียน กับอาจารย์ ชมัยภร แสงกระจ่าง เล่าเรื่องการเขียนเรื่องสั้น หรือวรรณกรรม “พระอาทิตย์ คืนแรม”


อาจารย์ชมัยภร เล่าว่า พระอาทิตย์คืนแรมพิมพ์ครั้งแรกปี ๒๕๓๙ ในนิยสารขวัญเรือน และพิมพ์รวมเล่มปี ๒๕๔๓

โดยอาจารย์ เล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจาก การที่ตนเองจะไปฟังธรรมะ จากหมอ อมรา มลิลา ระหว่างที่อยู่ในห้องปฏิบัติธรรมนั้นเห็นคนแก่ จูงเด็กหนุ่มวัย ๒๐ ปีเข้ามา ซึ่งในใจปกติอาจารย์ท่านจะเห็นแต่หนุ่มวัยรุ่นจูงมือหญิงชราคราแม่เข้ามา...ในระหว่างที่หญิงชรากำลังจูงเด็กหนุ่มเข้าก็ได้ยิน เสียงนินทา (ซึ่งคุณชมัยภรมองว่าเป็นจุดหนึ่งที่พบบ่อยในสังคมไทย) ว่า “เด็กผู้ชายคนนี้ฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย กระสุนปืนตัดผ่านประสาทตา ทำให้เด็กคนนี้ตาบอด”

อาจารย์จึงเกิดแนวความคิด และแรงบันดาลใจอยากเขียนเรื่องนี้ แต่ถ้า เราไปถามเด็กคนนั้นคงเสีย ความรู้สึก เพราะเขาพึ่งผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาในชีวิต ดังนั้นอาจารย์จึงเล่าว่า “ต้องอาศัยจินตนาการ เราจะไปหยาบคายกับชีวิตเขาไม่ได้” จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการแสวงหาข้อมูล

พระอาทิตย์คืนแรม อาจารย์ชมัยภร กล่าวว่า หมายถึง “พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างได้ตอนกลางคืน เขาจะรู้ได้อย่างไร การดำเนินชีวิตจะไปทางไหน”

เด็กคนที่เป็นต้นเรื่องที่ตาบอด จากวง นินทา ทราบว่าเกิดจาก อาการของคน อกหัก แต่ อาจารย์ชมัยภร เชื่อว่าปกติคนหนึ่งคนจะทำร้ายตัวเองต้องมีเหตุผลมากกว่านั้น ที่สำคัญอาจมาจากการกดดันของคนที่อยู่รอบๆข้าง
อาจารย์ลดอายุจริงของตัวละคร จากอายุ ๒๐ ให้เป็นเด็กมัธยมอายุ ๑๗-๑๘ ปี โดยวางตัวละครที่เข้ามามีส่วนกดดันให้กับตัวเอก ของตัวละครที่จะฆ่าตัวตาย..

คำถามแรก เด็กจะเอาปืนมาจากไหน ดังนั้นความน่าเชื่อถือของตัวละคร จึงต้องมีสภาพแวดล้อมที่เด็กสามารถ มีปืนได้ จึงวางตัวละครแวดล้อมคือ พ่อค้าอาวุธปืนกับทหาร

โดยบทบาท พ่อ จะเป็นตัวบีบ กดดันลูก โดยพ่อจะไปกดดันตัวแม่ และ
บทบาทของแม่ ถูกพ่อกดดัน และไม่ชอบแฟนของลูกชาย จะมีความรัก ห่วงลูก มากเกินไปโดยอาจารย์เล่าเสริมว่า เวลาวางตัวบทละครต้องมีความชัดเจน โดย “คิดเหตุและผลชัดเจน”

บทบาทของพระเอก เป็นลูกชายคนเล็ก มีพี่ชาย ๑ คน โดยพี่ชายเป็นลูกที่ติดมากับแม่ ก็จะยิ่งกดดันลูกชายคนเล็ก เพราะลูกชายคนเล็ก ยิ่งจะเป็นความหวังของพ่อในเรื่องพระเอก ชื่อ “กรรณ.” แปลว่า “หู”
เมื่อวางโครงเรื่องเสร็จ ที่สำคัญข้อมูลจะหามาจากไหน...ดังนั้นจึงต้องเริ่มหาข้อมูล
โดยสถานที่แรกที่ไปหาข้อมูล คือ โรงเรียนสอนคนตาบอด ของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สถานที่ต่อมา คือโรงเรียนพระมหาไถ่ ชลบุรี

คนตาบอด เนื่องจากตาของเขาบอด ดังนั้นประสาทสัมผัส หู ของเขาจึงมีรายละเอียดมาก ดังนั้นจง “อย่านินทาคนตาบอด”..และ “อย่าจับไม้เท้า เพราะการจับไม้เท้า คือการปิดตาของเขา”

คนตาบอดนั้นมี ๒ ประเภท คือ แต่กำเนิด กลุ่มนี้จะดูแลง่ายที่สุด

กลุ่มที่ ๒ คือคนที่ตาบอดช่วง หนุ่มสาว กลุ่มนี้จะทุกข์ทรมานมาก เพราะเขาเคยมองเห็น และเขาจะโกรธมากที่มองไม่เห็น
การเก็บข้อมูล อีกคนหนึ่ง คือไปเก็บข้อมูลที่นครราชสีมา โดยเป็นคนตาบอด ที่ประกอบอาชีพหมอนวด โดยคนนี้ พิเศษกว่าคือ เขารู้ว่าเขาจะตาบอดอีก ๒ปี เมื่อเขาศึกษาคุรุศาสตร์ ปี ๓ โดยเขามีชื่อว่า ปฐพี หรือ พีร์ โดยเขาทราบเมื่อไปตรวจที่คลินิกแห่งหนึ่ง โดยมีคนตัดแว่นแก่ๆคนหนึ่ง ทำนายเขาว่าเขาจะตาบอดภายใน ๒ปี เขาโกรธมากและด่าทอคนแก่คนนั้นอย่างเสียหาย และภายหลังเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอได้บอกกับเขาว่าเขาจะตาบอดภายใน ๒ ปี พอทราบเขารีบวิ่งกลับไปหาคนตัดแว่นแก่ๆคนนั้น พอไปถึงร้านและถามหาคนแก่ที่เคยคนแรกว่าเขาจะตาบอดภายใน ๒ปี กลับได้ข่าวร้ายว่า “ลุงคนนั้นเป็นจักษุแพทย์ที่เกษียรและมาเปิดร้านตัดแว่นเล็กๆ ตอนนี้เขาเสียชีวิตแล้ว”

หลังจากพีร์ ได้ทราบว่าตนเองจะตาบอด “เขาไปส่งพระอาทิตย์ทุกวัน ในช่วงรับแสงพระอาทิตย์และตกทุกวัน”
และมีครั้งหนึ่งเขาคิดสั้นส่งจดหมายถึงเพื่อนๆ ทุกคนว่าเขานอนไม่หลับขอยานอนหลับจากเพื่อนๆค่อยสะสม เมื่อสะสมได้จำนวนเยอะ เขาก็กินยานอนหลับจำนวนร้อยกว่าเม็ด แต่โชคร้ายไม่เข้าข้างเขายานอนหลับที่เขากินกระเพาะไม่รับ ทำให้เขาตื่นมาอีกทีที่โรงพยาบาล เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของคนแก่ขณะที่เขาค่อยๆลืมตาและรู้สึกตัว คนแก่ ชายแก่ๆไม่ใช่คนอื่นคนไกลเป็นพ่อของเขานั้นเอง

จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ คิดว่าเขาตายไม่ได้ เขาจึงลุกขึ้นมาเตรียมตัวตาบอดภายใน ๒ปี อย่างไม่สิ้นหวังไปเรียน การใช้ไม้ท้าว การใช้ชีวิตแบบคนตาบอดทั่วไป....และภายหลังเขาก็ทราบว่าที่เขาตาบอดเพราะมันเป็นโรคกรรมพันธุ์ของครอบครัวเขา...