วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

โครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่สำคัญ

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา



บทความนี้เขียนขึ้น เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6424.0



วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

การให้อภัยในทงฮี

วันนี้หลังสอบที่มหาวิทยาลัย...เสร็จประมาณเที่ยง และนอนประมาณบ่ายสามโมง ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 6 โมง และมีโอกาสดู ทงฮี ปกติไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่แต่ก็ดูบ้าง


วันนี้เป็นวันที่ดูแล้วอิ่มใจเพราะมหเหสี องค์เดิมได้กลับมาที่วังและ คนที่ทำผิดต่างๆก็ได้รับโทษจากความผิดกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้น..

ท่ามกลางการรับกรรมของแต่ละตัวละคร...มีสิ่งหนึ่งที่เห็นในเรื่องนี้และสอนใจเป็นอย่างดี ผมไม่รู้ว่าทุกคนที่ดูสังเกตเห็นหรือเปล่า

คือ "การให้อภัย"

โดยท่ามกลางของโทษที่แต่ละครกำลังได้รับ..เสนาอำมาตย์ต่างๆถูกปลด มเหสีถูกปลดเพื่อให้องค์เดิมได้กลับมา

ในละคร คนที่กระทำผิดถูกประชาชน ที่ถูกกดขี่จากชนชั้นสูง ข้วงปาก้อนหิน ต่างถูก ด่าทอ สาปแช่ง ขว้างปาก้อนหิน เข้าไปที่ไป และมเหสีที่ถูกเนรเทศก็ถูกครหาจากคนในวังเมื่อเสื่อมยศ...


ก่อนที่พระมเหสี องค์เดิมจะกลับมาจะมีการต้อนรับ...องค์ก่อนหน้าที่คอยถูกปลดและจะต้องมีการจัดเลี้ยงต้อนรับ..องค์เดิมกลับมา..

นางในคนสนิทของทงฮี บอกว่าน่าจะให้ องค์ที่ถูกปลดมาจัดงานให้กับองค์ที่จะมารับตำแหน่งเดิม..นางคงช้ำใจน่าดู..นางในคนสนิทกล่าว..

แต่ทงฮีกลับห้ามปรามไว้...

และมีฉากหนึ่งของละครที่ต้องลงโทษ นางใน ซังกุงสูงสูดเดิม...โดยในละคร แต่งตั้งซังกุงสูงสุดแล้ว..จะต้องลงโทษซังกุงและพรรคพวก รวมอีกสองคน..

ฉากในละคร นางในสองคนที่เป็นคนติดตามซังกุงสูงสุดเดิมต่างแสดง ความหวาดกลัว ในโทษสูงสุดคือประหารชีวิต...รวมถึงซังกุงสูงสุดแต่ต่างกันตรงที่ซังกุงสูงสุดคนเดิมไม่แสดงออก คือ ความยังยึดมั่นในศักดิ์ศรี ของตน


ในฉากที่นางเอกต้องลงโทษ....ตรงนี้แหละครับ..ที่ผมอยากบอกเล่ากับทุกท่าน..

นางเอก ถามซังกุงสูงสุด ว่าอยากบอกอะไร..(ผมก็นึกในใจว่านางเอกต้องมีอะไรในใจแน่ๆถึงถามแบบนี้)

อดีตซังกุงสูงสุดบอกประมาณว่า นางบอกว่านางอยากฆ่าตัวตายเองอย่าฆ่านาง ต่อสารธารณะเลย..เพราะนางไม่อยากตายแบบเสียศักดิ์ศรี...

นางกล่าวประมาณว่าที่ทุกอย่างทำไป..โดยทำตามหน้าที่ที่ต้องปฎิบัติตามหน้าที่ ของผู้ส่ั่งการ..(พยามนึกประมาณว่านางยึดมั่นในหน้าที่นะครับ 55)

แต่สุดท้ายนางเอกก็ตัดสิน..นางที่ติดตามอดีตซังกุงสูงสุดพ้นโทษและลดขั้นเป็นนางในขั้น 9

ส่วนอดีตซังกุงสูงสุดก็ให้ลดขั้นเป็น...ซังกุงผู้ตรวจการขั้น 5...


ผมว่าถ้าคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้..ไม่รู้คิดอะไร และเกิดคำถามอะไรขึ้นในใจ..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม..คือ การให้อภัย...เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากสำหรับนางเอกเรื่องนี้ ทงฮี...

มองถึงคุณธรรม ที่คนในสังคมปัจจุบันขาดไป โดยเฉพาะในบ้านเรานักการเมืองซึ่งบางทีอาจสะกดคำนี้ไม่เป็น...



วันนี้ทุกท่านลอง..ให้อภัย คนที่คุณไม่ชอบเกลียด หรือกระทำผิดต่อคุณ...

ไม่แน่นะครับ...

ผมว่าคุณอาจได้รับความสุขเหมือนดูทงฮีแบบผม :)

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมชาติของความรัก..ที่ยากจะแสดงออกกับคนที่รักเราที่สุด

"คนเราไม่มีอะไรมาก..

ชอบก็คือชอบ

รักก็คือรัก

เป็นห่วงก็คือเป็นห่วง

แต่คนที่เป็นแบบนี้มักไม่ค่อยแสดงออกเป็นการกระทำ..."


ผมดูโฆษณาของ DTAC 3G แล้วทำให้ผมมีความรู้สึก กระอัก กระอวนในหัวใจว่า เฮ้ย ทำไหมมาแนวดราม่า แบบไทยประกันชีวิตเลยวะ...
แต่ผมก็ชอบนะครับ..เพราะผมชอบมุมมองการนำเสนอที่แสดงออกด้วยการกระทำ...และคำพูด

โดยปมของเรื่อง คือพระเอกโฆษณา ตามประสาผู้ชายไม่กล้าแสดงออกซึ่งความรักกับคนใกล้ชิดโดยเฉพาะคนในครอบครัว..แต่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวกลับแสดงออกได้แบบบ้าๆบอๆ หรือเต็มที่กับมันได้ทุกอย่าง ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่โฆษณาขกไปตรงเป้าหัวใจของผู้ชมโฆษณานี้ มันเป็นคำถามที่พระเอกคนนี้ถามได้แทงใจดำคนหลายคน ว่า เออ มันพูดจริงวะ...

มัดเด็ดว่านั้นคือ เรื่องมือถือก็เขาจะขาย 3G ก็ต้องมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องอ่าซิครับถึงเวลาขายของ..หลังจากโดนชกจากคำถามด้านบนแล้ว..

มาถึงช่วงที่จะแสดงออกความรัก..ก็ต้องมีสื่อกลาง คือเทคโนโลยี ซิครับ...

ใช้ส่งวิดิโอ ไปหาแม่แล้วบอกให้แม่ดูแลตัวเอง..และประโยคสุดท้าย..ก็บอกผ่านวิดิโอว่ารักแม่...

ทันใดนั้นแม่ก็มายืนต่อหน้า และกอดกัน....แม้จะไม่ได้จบด้วยการจากไป แต่ก็จบด้วยการจากลาในโฆษณาพระเอกต้องไปเรียนต่อ ตปท...

ผมไม่รู้ว่านี้เป็นกอดครั้งแรกของพระเอกโฆษณาที่ได้กอดแม่หรือเปล่า

นี้ละครับ..ดราม่าแบบไทยๆ ขายได้ทั่วโลก...ผมชอบโฆษณาตัวนี้นะอย่างน้อยก็ตั้งคำถามกับสังคม..ได้เยอะทีเดียวกับโฆษณานี้...

อย่าลืมทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักนะครับ...รีบทำตามเสียงหัวใจ ครับ..

ความดิบของคน กับภาพลักษณ์ ในอุโมงค์ผาเมือง

เคยถามเพื่อนว่า เอย เอ็งตื่นเช้าจังวะ

เพื่อนตอบว่า "ตื่นมารอดูซี่รี่เกาหลี"


เราเพิ่งมาเข้าใจบางอ้อ ของเพื่อน...อย่างนี่ นี้เอง..
เมื่อเจอกับตัวเอง..ว่าทำไหมเราต้องตื่นเช้า
ผมสรุปกับตัวเองว่า
เพื่อนมันมีแรงบันดาลใจนี้เอง...


คนเราต้องหาแรงบันดาล เพราะสิ่งนี้แหละจะทำให้เรา จรรโลงใจ
และมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย...และมีความสุขในแต่ละวัน...
เรื่องราวต่างๆ มันเข้ามาทดสอบความเป็นคนของผมเสมอ
ทั้งเรื่องที่ทำให้พอใจ ดีใจ เสียใจ สมหวัง ไม่สมหวัง...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจาก ความคาดหวังกับคนอื่น และตัดสินในพฤติกรรมของคนอื่น


ผมไปดู หนังเรื่องอุโมงค์ผาเมือง โดย มล.น้อย ดัดแปลงมาจาก วรรณกรรม หม่อมคึกฤทธิ์ เรื่อง ราโชมอน..
หนัง ผูกปมโดย เป็นคดีความอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งคนพูดไม่ตรงกันในคำให้การของจำเลย 3 คน..อีกคนจะเรียกว่าจำเลยก็กระไรอยู่ เพราะเป็นคนทรง...
แต่พูดง่ายๆ คือหนังมีตัวละครคำให้การ 3 คน และมีคนเล่าเรื่อง 3 คน ที่มีมุมมอความคิดเห็นที่แตกต่างกัน..ผมขอยกตัวอย่างบุคคลิกของแต่ละคนดีกว่านะครับ..
แต่ชื่อตัวละครผมจำไม่ได้

๑. มาริโอ(อานนท์) รับ บทเป็น พระ ภาพลักษณ์ คือ นักปฎิบัตธรรม ที่มีคุณธรรมสูง สั่งสอนชาวบ้าน และปมชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์หนังพยายามบอกว่า เขาเห็นสัจธรรม เวียน ว่าย ตาย เกิด และหนังก็พยายามบอกว่า มีจิตใจมุ่งมั่นเพราะต้องการพ้นทุกข์ แม้ถูกเหตุการณ์หรือถูกขัดขวาง จากคนใกล้ชิด คนรอบข้าง


๒.หม่ำ (คนเก็บฟื้น) ตัวเล่าเรื่องที่เป็น ปม และตัวละครสำคัญ ที่เป็นคนธรรมดา แต่มีเรื่องราวสะท้อนในตอนท้าย จนทำให้พระต้อง อึ้งในเหตุผลธรรมดา ที่คนธรรมดา...ทำด้วยเหตุผล = ศีลธรรม.


๓.พงษ์พัฒน์ (สับปะเหร่อ) ภาพลักษณ์ที่ดูไม่ได้เลย..ดูสกปรก น่าตาน่าเกลียด..แต่เขามีความดิบของมนุษย์ สะท้อนมุมมองทุกอย่างตรง..แต่เขาเห็นสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบาย..อยู่กับความเป็นจริง...เจอคำพูดเขาแต่ละคำแรง..ไม่รู้คนไทยรับได้ไหม เพราะคนไทยหน้าบาง...มีศีลธรรมสูง


ส่วนตัวละคร อีกสาม คนหลัก

อนันดา(นักรบ) พลอย (หญิงเมียนักรบผู้สูงศักดิ์ เลอโฉม) คนทรง(ผีอนันดา)
ทุกอย่างถูกนำเสนอด้วยภาพลักษณ์ของตนเอง...ผมบอกก่อนนะครับว่าทุกคนโกหก และมีเหตุผลในการเข้าข้าง..ความคิด..และปกปิดสิ่งไม่ดีของตัวเอง..


แต่ผมไม่มีเวลาเขียนต่อ ต้องออกไปพบเพื่อนแล้ว..
อยากนั่งเขียนให้จบ แนวความคิดเรื่อง ภาพลักษณ์ ใช้ได้กับเรื่องนี้เป็นอย่างดี..
ไว้จะมาเขียนต่อครับ..
ไปเจอเพื่อนละ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

หลักการ กับจินตนาการ.?

เมื่อวานผมนั่งเรียนวิชาการเขียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นวิชาพื้นฐาน หลังจากที่อาจารย์ให้เราๆเข้าไปเขียนสารคดีมาส่ง อาจารย์ได้นำไปตรวจ เสร็จแล้ววันนี้ทุกคนก็มานั่งคุยกัน วิจารณ์งานเขียนของเพื่อนๆ โดยอาจารย์ให้นั่งล้อมวง โดยให้อ่านงานของเพื่อนแต่ละคน
มีของเพื่อนคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเก็บข้อมูลจริงไหมในงานเขียน พออ่านงานเสร็จอาจารย์บอกกับเขาว่า..งานเขียนของคุณเห็นภาพ แต่คุณจินตนาการ มากเกินไป โดยหลักการเขียนสารคดีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจ โดยให้ความเพลิดเพลินแต่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

อาจารย์บอกเพื่อนผมว่าไป ให้ไปเรียนวรรณกรรม เห๊อะ เพราะคุณทำผิดหลักของนัก Journalism คือไม่เขียนตามความเป็นจริง...อย่าใส่ความคิดเห็นมาก อาจารย์ได้ตั้งคำถามเพื่อนผมว่า คุณไปอยู่ในเหตุการณ์เหรอ ถึงอธิบาย คำพูดเหตุการณ์อารมณ์ขณะเขาพูด...(พอดีเพื่อนผมเขาเขียนโดยมีคำในเครื่องหมายคำพูดประมาณว่า "ไอ้สัตว์"")


อาจารย์เลยแนะนำบอกว่าไปเรียนวรรณกรรมเห๊อะ ถ้าชอบจินตนาการ...
เพื่อนผมมันก็ยั่วตามอาจารย์..หรือเกิดอะไรดลใจ เขาไม่รู้ มันก็พร่ำ ว่าตนเองจิตนาการเก่งอยากเรียนวรรณกรรมขึ้นมา...
ผมกำลังจะบอกว่า หลักการ และจินตนาการ มันควบคู่กัน เพียงแต่เพื่อนผมมันใช้ไม่ตรงเวลาเท่านั้น..
ผมไม่ได้บอกว่าจินตนาการไม่ดีนะครับ จินตนาการทำให้เรื่องมันน่าสนใจ...
แต่จินตนาการมันต้องเริ่มก่อนงานเขียน เพื่อออกแบบ งานเขียน ก่อนลงเมื่อเขียน
ส่วนหลักการ คือ แนวทางที่เราเรียนรู้และเดินไปตามหลัก...


ผมอยากบอกเพื่อนผมว่าไม่ต้องไปเรียนวรรณกรรมหรอก เรียนเป็นนักเขียนนี่แหละเพียงเราใช้จินตนาการให้ถูกจุดเท่านั้นเอง...

ชีวิตการเรียนมันสนุกและมีสีสัน..แล้วทุกท่านละครับ..ใช้หลักการหรือ จินตนาการ ในการคิดอะไรๆต่างๆเป็นอันดับแรก.. :)


ภาพและบทความโดย อาณาจักรโกวิทย์

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

การพัฒนาคุณชีวิตผู้สูงอายุ(แบบยั่งยืน) มีมากกว่าระบบรัฐสวัสดิการ

เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้เขียนได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพบรายงานสถิติ ด้านสาธารณะสุขที่น่าสนใจ โดยกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเปิดเผยว่า พลเมืองชาวญี่ปุ่นที่มีอายุเกิน 100 ปี มีอัตราที่เพิ่มติดต่อกันเป็นปีที่ 41 โดยมี อายุเฉลี่ยประชากรอายุเกิน 100 ปี อยู่ที่ 37 คน ต่อประชากร 100,000 คนนอกจากนั้นรายงานข่าวยังกล่าวว่าคนญี่ปุ่นยังมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก ทั้งเพศหญิงและเพศชาย มีอายุเท่ากัน คือ 114 ปี และอายุเฉลี่ยของผู้สูงอายุของชาวญี่ปุ่นมากกว่า 65 ปี อยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนประชากร 128 ล้านคน ส่วนอัตราการเกิดของประชากรญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำสุดของโลก ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลวัยแรงงานในอนาคต

หากดูรายงานที่เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับประชากรโลก รวมทั้งด้านสุขภาพและสภาพแวดล้อมของหน่วยงานแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา (Population Reference Bureau, www.prb.org) ซึ่งสรุปจะพบว่า โครงสร้างประชากรของประเทศพัฒนาแล้วกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เป็นพีระมิดฐานกว้างด้วยจำนวนประชากรอายุน้อย กลายเป็นพีระมิดกลับหัวที่ฐานจะแคบลงอย่างมาก จากอัตราการเกิดที่ลดลง และยอดพีระมิดขยายกว้างขึ้นด้วยจำนวนประชากรอายุมากเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการพัฒนาประเทศ ความเจริญทางด้านสาธารณสุข และระบบด้านสาธารณะสุขที่ดีขึ้น ซึ่งในประเทศไทยก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันแม้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว

ผู้เขียนมองเรื่องมิติการการลดประชากรที่เกิด กับ การเพิ่มของผู้สูงอายุ ในบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ได้ 2 ประเด็น กล่าวคือ

ประเด็นแรก มองกลุ่มสูงอายุเป็นภาระของสังคม หรือครอบครัว ในอนาคต จากการที่จำนวนประชากร จากการเกิดที่ลดลง เมื่อเทียบกับวัยสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ที่จะส่งผลกระทบต่อเรื่องเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชากร ดังนั้น ภาครัฐ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม จึงอาจต้องพยายามมีมาตรการทางสังคม เพื่อเข้ามารองรับประเด็นตรงนี้อย่างชัดเจนกับในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเป็นระบบรัฐสวัสดิการ เช่น ระบบบำนาญ ประกันสังคม กองทุนต่างๆ รวมถึงระบบสาธารณะสุข ที่เฉพาะเจาะจงมาดูกลุ่มบุคคลเหล่านี้

ประเด็นที่สอง ในทางกลับกันหากเชื่อว่าทรัพยากรมนุษย์(Human Resources) เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ขึ้นอยู่กับการบริหารและการจัดการ ผู้สูงอายุก็เฉกเช่นเดียวกัน คือ เป็นบุคคลที่มีคุณค่า และประประโยชน์ต่อสังคม หากแต่ต้องมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และด้านเศรษฐกิจ โดยให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคม และเศรษฐกิจ เพราะกลุ่มบุคคลเหล่านี้ต่างมีประสบการณ์ในชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างง่ายๆ เช่น หน่วยงานด้านแรงงานอาจสนับสนุนส่งเสริมการทำงานอาชีพที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย หรือ รัฐอาจมีมาตรการหลายประการ เช่น ขยายอายุเกษียณของการทำงานเพื่อให้คนทำงานยาวนานขึ้น หรือ อาจต้องมีการรณรงค์ ให้ประชาชนออมเพื่อวัยเกษียณที่ยั่งยืนของตนเองด้วยการ อาจมีการให้มาตรการจูงใจทางภาษีต่าง ๆหรือ รณรงค์ ให้ครอบครัว สังคม ซึ่งจะต้องให้ความรักความเอาใจใส่ มีการเกื้อหนุนดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน สังคมให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ เช่นงานประเพณีต่างๆ หรือในอนาคต อาจมีการสร้างนโยบายสาธารณะเพื่อผู้สูงอายุ โดยเน้นให้ทุกคนในชุมชน หรือสังคม มีข้อตกลงทางสังคมร่วมกัน รับหลักการเดียวกันในการที่จะปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนในชุมชน หรือสังคมมีสุขภาพที่ดี เช่น การกำหนดนโยบาย ไม่ให้มีการทอดทิ้ง ผู้สูงอายุในชุมชน นโยบายครอบครัวอบอุ่น เป็นต้น


ดังนั้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอาจเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความสมดุลระหว่างประชากรที่เกิดที่มีอัตราต่ำและอัตราผู้สูงอายุที่สูงขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ของผู้สูงวัย ให้กลุ่มคนเหล่านั้นมีคุณค่า และมีมาตรการเชิงรุก เช่น การฝึกให้ช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการออม หรือ โดยมีการรงค์ทางสังคม ในนโยบายภาค รัฐ ภาคประชาสังคม ชุมชน ครอบครัว ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจะเป็นส่วนหนุนเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต เมื่อเขารู้จักช่วยเหลือตนเอง ส่วนมาตรการทางระบบรัฐสวัสดิการ ประกันสังคม อาจเป็นเพียงมาตรการเสริม ก็เป็นไปได้หากเขารู้จักรับผิดชอบและดูแลตนเองได้ ปัญหาการเกิดที่ลดลง คนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั้งที่ ญี่ปุ่น และทั่วโลก อาจไม่เป็นปัญหาต่อไปก็ได้

อย่าลืมไปนะครับ..เราทุกคนตอนนี้ยังหนุ่มสาว..สักวันเราก็ถึงวัยสูงอายุ...มาร่วมสร้างสังคมให้เกิดสุขสมวัย เพื่ออนาคตมั่นคงของชีวิตสูงวัย ข้างหน้าตั้งแต่วันนี้พร้อมๆกันครับ..


โดย อาณาจักรโกวิทย์

นโยบายปรับค่าแรง 300บาท กับ อาชีพนักศึกษาและผู้ค้าแรงงานส่งตัวเองเรียนราม

นโยบายปรับค่าแรง 300บาท กับ อาชีพนักศึกษาและผู้ค้าแรงงานส่งตัวเองเรียนราม


หากกล่าวถึงเรื่องการเมืองหลังการเลือกตั้ง นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหยิบยกและเร่งดำเนินการ โดยหน้าข่าวสื่อพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วงนี้น่าจะเป็นประเด็น ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนขั้นต่ำ 15.000 บาท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี


ถ้ามองนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จากมุมมองนายจ้างเสียงส่วนมาก อาจถูก ต่อต้านจากสถาบันอันเป็นตัวแทนของทุนใหญ่ อย่างเช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ฯลฯ ในเรื่องต้นทุนการผลิต ที่สูงขึ้นรวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการลงทุนของต่างชาติ


แต่ถ้าหากมองในเสียงสะท้อนจากผู้ที่ใช้แรงงาน ก็อาจมีคำตอบอีกคำตอบหนึ่งที่อาจตรงกันข้ามกับฝั่งนายจ้าง
วันนี้ได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งทำงานด้วยเรียนไปด้วยหลากหลายอาชีพ ด้วยกัน ที่มีมุมมองความคิดเห็นต่อนโยบายเรื่องนี้ของรัฐบาล


พนักงานร้านไอศกรีมชื่อดัง และหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยห้างสรรพสินค้า หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า “ทุกวันนี้ได้ค่าแรง วันละ 27 บาท ต่อชั่วโมงมาทำงานที่ร้านไอศกรีม คาดหวังว่าจะได้ค่าแรงวันละ 300 บาทเหมือนกัน เพราะมาทำงานที่นี้ นอกเวลาทำงานปกติ ปกติทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย โดยได้เงินเดือน 8,400 บาท ซึ่งเฉลี่ยกันแล้วไม่ถึงวันละ 300 บาท ต้องทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน”

โดยกล่าวว่าอยากได้ค่าแรงสูงขึ้น แต่ต้องรอรัฐบาล เพราะเขาไม่สามารถต่อรองกับนายจ้างได้ ต้องช่วยเหลือตนเอง นอกจากทำงานปกติ ต้องมาทำงานนอกเวลา ชั่วโมงละ 27บาท วันละ 4 ชั่วโมงเพื่อให้มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายทั้งการเรียนและใช้จ่ายต่างๆ เช่นในชีวิตประจำวันและส่งกลับบ้าน


มงคล พนักงานร้านสะดวกซื้อ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำสนับสนุนเต็มที่ เพราะปกติก็ทำงานเฉลี่ยรายได้ทำงานปกติวันละ 8 ชั่วโมง โดยมีวันหยุดหนึ่งวันก็มีรายได้ไม่ถึงวันละ 300 บาท เมื่อรวมหนึ่งเดือนก็ไม่ถึง 9,000 บาท โดยหากต้องการมีรายได้มากขึ้น ต้องทำงานเพิ่มวันหนึ่งถึง 12 ชั่วโมง

มงคล กล่าวต่อไปว่า การขึ้นค่าแรงสนับสนุนเต็มที่ แต่อาจกระทบกับนายจ้างบ้าง เช่น เรื่องบริหารจัดการที่สูงขึ้น ร้านมีกำไรน้อยลง ถ้าได้ 300 บาทต่อวัน ส่งผลดีต่อเขา เพราะได้ทำงาน 8 ชั่วโมง อาจไม่ต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อต้องการรายได้ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย โดยเขายังได้มีเวลาพักผ่อน และใช้ชีวิตส่วนตัวบ้าง

หากการนำเสนอค่าแรงขั้นต่ำให้อยู่ที่ 300 บาทต่อวัน เป็นเป้าหมาย เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของ ผู้ใช้แรงงาน และนำไปสู่การปรับโครงสร้างค่าแรงให้สอดรับและใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริง นโยบายนี้จะเป็นไปได้จริง หรือไม่ อาจต้องมีการเจรจาหลายๆฝ่ายทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยรัฐบาลเป็นคนกลางดุแลประชาชน แต่ตอนนี้ ผู้ใช้แรงงาน และนักศึกษาที่ทำงานควบคู่กันไปด้วย ในส่วนบริษัททุนใหญ่ๆ ที่มีผลประกอบการณ์ต่อปีสูง รอบมหาวิทยาลัยรามคำแหง ต้องการมากที่สุด คือ คุณภาพชีวิต ที่ดีที่ควรได้รับจากการทำงานและเหลียวแลจาก นายจ้างและรัฐบาล ในสวัสดิการแรงงานที่เขาควรได้รับ.


โดย อาณาจักร โกวิทย์

เซ็นทรัลพลาซาเชียงราย

โครงการเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงรายมองได้หลายมุมมอง และหลายมิติกล่าวคือ เรื่องความเจริญ ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเมือง เรื่องสิ่งแวดล้อมโครงการใหญ่ๆย่อมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ตัวอาคารจะเข้ากับสถาปัตยกรรมล้านนา ในความเป็นเมืองวัฒนธรรมของเชียงรายหรือไหม ฯลฯ ย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อโครงการนี้เกิดขึ้น ชาวเชียงรายจะปรับตัวอย่างไร ลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่ชาวเชียงรายควรติดตาม เพราะจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีผลต่อการพัฒนาเชียงรายแน่นอน เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของเอกชน...


ขอเชิญทุกท่าน ร่วมแลกเปลี่ยน และติดตามการพัฒนาโครงการนี้พร้อมๆกัน ให้กระทู้เล็กๆ นี้ได้พูดคุยในมุมมองของทุกท่านอย่างสร้างสรรค์

สุดท้าย ผู้รวบรวมต้องขอบคุณแหล่งข่าว สมาชิกทุกท่าน ผู้อ่าน ที่สำคัญพี่ๆนักข่าวทุกท่าน ที่ติดตามข่าวและมีข่าวปรากฎเสนอตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลง ส่วนภาพต่างสามารถนำไปเผยแพร่ได้ ตามสบาย ครับ

เซ็นทรัลพลาซาเชียงราย


ที่ตั้ง : ถนนพหลโยธิน
เจ้าของโครงการ : บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
มูลค่าโครงการ : 2,400 ล้านบาท *
เนื้อที่โครงการ : 52 ไร่
พื้นที่โครงการ : 100,000 ตารางเมตร
โครงการแล้วเสร็จ : 3 ธันวาคม 2552
• แหล่งรวมแฟชั่นแบรนด์ดังจากทั่วมุมโลกกว่า 200 ร้านค้า
• ลิ้มรสความแปลกใหม่กับสไตล์อาหารที่ไม่จำเจกับสุดยอดเมนูอาหารจากร้านอาหาร
นานาชาติชั้นนำกว่า 30 ร้าน
• ตื่นตาตื่นใจกับความบันเทิงที่ทันสมัยครบวงจร โรงภาพยนตร์ 4 โรง, Karaoke และ Games
• ตอบทุกไลฟ์สไตล์ รองรับทุกความต้องการกับ Robinson, Tops Market, Power Buy, B2S, SuperSports, Fashion Plus, E-center และ Food Park
• สุดยอดทำเลที่ตั้งบนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (พหลโยธินสายใหม่) กว้าง 10 เลน และถนนพหลโยธิน สายเก่า กว้าง 2 เลน รองรับการเดินทางสะดวกสบายสู้โครงการทั้ง 2 เส้นทาง
• เพียง 2 กิโลเมตรจากใจกลางเมือง
• เพียง 10 กิโลเมตรจากสนามบิน
• อยู่ในตำแหน่งที่เป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดทั้งหมด รวมทั้งเป็นเส้นทางการค้าสู่ประเทศจีน และ กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Corridors)



• นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้เชียงรายเป็น GMS Corridors (Greater Mekong Subregion) เส้นทางการค้าสู่ประเทศจีนและกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย
• สามารถเดินทางสู่โครงการผ่าน ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (พหลโยธิน สายใหม่ ), ถนนพหลโยธินสายเก่า, สถานีรถไฟ, ท่าอากาศยานจังหวัดเชียงราย (10 กม.) และเส้นทางรถประจำทาง
• ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของจังหวัด อาทิวัดร่องขุน ไนท์บาซาร์ และ พระธาตุดอยตุง
• ล้อมรอบด้วยสถานที่ สำคัญต่างๆ เช่น โรงแรม 4-5 ดาว 12 แห่ง, มหาวิทยาลัย และ
วิทยาลัย 5 แห่ง, สถานประกอบการกว่า 3,500 แห่ง


ภาพสะท้อนของวัฒนธรรมล้านนากับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่ควบรวมความทันสมัยไว้บน สถาปัตยกรรมภายนอก และบรรยายภายในอย่างกลมกลืนทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Eco-Friendly โดยนำแสดงจากธรรมชาติ และอากาศเย็นภายนอกมาหมุนเวียนเพื่อให้ความรู้สึกผ่านคลายและเพิ่ม บรรยากาศในการช้อปปิ้ง


ท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมผมรวบรวมไว้ที่ เว็บเชียงรายโฟกัส

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4578.0



โดย อาณาจักรโกวิทย์

พฤติกรรมการใช้เฟชบุ๊ค( Facebook ) กับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสื่อสาร




หากมีอาจารย์ในชั้นเรียนกล่าวคำถามในชั้นเรียนว่า ใครใช้บริการ เฟซบุ๊ค(Facebook )บ้าง? ถ้ามีนักศึกษาคนใด คนหนึ่งในชั้นเรียน ตอบว่า ไม่เคยใช้ เฟซบุ๊ค คงเป็นคนที่ล้าสมัย เพราะคนส่วนมากใช้ บริการเฟซบุ๊ค เป็นช่องทางในการติดต่อ สื่อสารกันในปัจจุบัน
บริการเฟซบุ๊ค(Facebook ) เป็นหนึ่ง ในบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์(Social Network) เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2004 โดยผู้คิดค้นคือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยปัจจุบัน เฟชบุ๊คได้รับความนิยมทั่วโลก หากเข้าดูข้อมูลในเว็บ www.checkfacebook.com ที่เป็นเว็บสำหรับแจ้งผู้ใช้บริการของบริษัทแห่งนี้ ยอดข้อมูลผู้ใช้บริการเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมจะมียอดผู้ใช้บริการทั่วโลก มีมากถึง720,584,160 ล้านคน ใน ส่วนผู้ใช้บริการในไทยมีมากถึง11,698,220 คน


ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี และใช้บริการ เฟซบุ๊ค ตามกระแสคนที่ใช้เทคโนโลยีทั่วไป โดยมีบุคคลทีรับเป็นสมาชิก 981 คน ผู้เขียนใช้เป็นช่องทางในการติดต่อ สื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างบุคคลที่รู้จัก ผู้เขียนเฝ้าสังเกตพฤติกรรมสมาชิกที่ใช้เฟชบุ๊คสามารถวิเคราะห์บุคคลที่ใช้ เฟชบุ๊ค เป็นช่องทางในการสื่อสารแล้ว แบ่งประเภทตามกลุ่มคนที่ใช้งาน พบว่า มีดังนี้
1. กลุ่มคนที่ใช้เป็นช่องทาง มุ่งแสดงความคิดเห็นทัศนะของตนเอง หรือ การพรรณนา เช่น พรรณนาตัวเอง รำพึงรำพันตนเอง หรือ ความรัก ฯลฯ อาจเป็นข้อความสั้นๆ หรือ บทกลอน ซึ่งกลุ่มนี้จะเน้นไปทางด้านการบันเทิงมากกว่า
2. กลุ่มคนที่เก็บกด หรือ กลุ่มที่อยากแสดงความสามารถ คือ ใช้เป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ระบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง ใช้สื่อเป็นช่องทางปลอดปล่อยเรื่องบางเรื่องพูดไม่ได้ เช่น เกลียดคนนั้น แอบชอบคนนั้น เบื่อเจ้านาย หรือ บอกข้อดีของตนเอง ความสามารถพิเศษ ฯลฯ
3. กลุ่มคนที่ชอบสื่อสาร หรือเรียกได้ว่านักสื่อสาร โดย รับความรู้ใหม่ๆ หรือมุ่งเน้นให้ความรู้ คือ ใช้ติดต่อสื่อสาร คุยเรื่องงาน สนทนาทั่วไป เขียนบทความ หรืออัพเดตข่าวสาร ใหม่ๆ เช่น ข่าว การท่องเทียว ความสวยความงาม การเรียน กิจกรรมทำร่วมกัน หรือแม้แต่เขียนงานวิชาการ ฯลฯ
4. กลุ่มคนที่ขายสินค้าและบริการ เช่น อาชีพรับจ้างโพสข้อความ การตลาด ฝ่ายประชาสัมพันธ์สินค้าต่างๆ ฯลฯ
5. กลุ่มใช้เป็นแสดงออกทางเพศ เช่น หาแฟน หาสามี หาภรรยา หากิ๊ก และกลุ่มที่ขายบริการ ฯลฯ
6. กลุ่มคนที่สมัครไว้เล่นเกม
7.กลุ่มคนสมัครไว้โพสรูปภาพ สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ดอกไม้ ผู้คน ฯลฯ
8.พวกสมัครไว้ตามกระแส ขอให้มีไว้ก่อนไม่เชย
9.ใช้สำหรับที่ทำงาน ในการติดต่อประสานงาน หรือเผยแพร่ข่าวสาร
10. กลุ่มที่สมัครไว้เฉยๆ ไม่เล่น แต่คอยสังเกตพฤติกรรมของสมาชิก และรับข่าวสาร

โดยการใช้งานในแต่ละประเภทเป็นไปตามลักษณะความเชื่อ ประสบการณ์ เพศและอายุ ของผู้ใช้แตกต่างกันไป แต่ผู้เขียนสนใจว่า เฟชบุ๊ค ทำให้เกิดสังคมออนไลน์(Social Network) ที่ใหญ่มาก โดยทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป เทคโนโลยีก่อนหน้านี้มี โทรศัพท์ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในด้านการติดต่อสื่อสาร คือใช้ สนทนากัน ข้ามข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ เวลา โดยขยายการสื่อสารการได้ยินของมนุษย์ และเสียค่าบริการแก่ผู้ให้บริการ และปัจจุบัน เฟชบุ๊ค ได้เข้ามาเป็นสิ่งที่จำเป็น หนึ่งในการสื่อสาร ที่สะดวกกว่าโทรศัพท์ โดยใช้สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ มือถือที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน (smart phone) หรืออุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารของผู้คนเปลี่ยนไป คือ เกิดหลอมรวมเทคโนโลยี (convergence technology )และมีกลุ่มที่เรียกว่าสังคมออนไลน์ :ซึ่งจะคอยกำหนดและหล่อหลอม วิธีคิด กรอบความเชื่อ ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีเปลี่ยนนี้เอง มีสำนักด้านการสื่อสารซึ่งได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไว้ได้อย่างสนใจ คือ ทฤษฎีสำนักโตรอนโต ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี อธิบาย ว่า
เทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นพื้นฐานของทุกสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน
เทคโนโลยีการสื่อสารแต่ละชนิดก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างสังคมที่ต่างชนิดกัน
ขั้นตอนของเทคโนโลยีการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การคิดค้น ,การขยาย ,การควบคุม
ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ เทคโนโลยีการสื่อสาร สังคมมีการปฏิวัติ
ผลกระทบการสื่อสารเปลี่ยน สำนึกเรื่องเวลา ,สำนึกเรื่องพื้นที่,ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ผู้เขียนหยิบยกทฤษฎีนี้มากล่าวอ้าง เพราะ เฟซบุ๊ค ถือว่าเป็น เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลง คือ ทำให้เกิดการปฏิวัติทางการสื่อสาร เพราะคนจะสื่อสารกันได้รวดเร็วขึ้น และมีเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น จนมีนักวิชาการสำนักนี้กล่าวว่าเป็น หมู่บ้านโลก คือ เทคโนโลยีการสื่อสาร ยุคที่โลกจะใหญ่ขนาดไหน แต่ก็ถูกย่อให้มีขนาดเล็ก คือคนบนโลกสามารถเสพข่าวสารได้เหมือนกัน หรือ เสพวัฒนธรรมร่วมกันได้ โดยมีองค์ประกอบของ คือ ข้อมูลเหมือนๆกัน พร้อมเพรียงกัน และทันทีทันใด


ผลทีเกิดขึ้นตามมา คือ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ ของผู้ใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกจะถูกยุบรวมกัน คือคนเราจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และข้ามประเทศ ข้ามวัฒนธรรมกันมากขึ้น ความแตกต่าง และความเหมือนทางความคิดจะมีมากขึ้น ภายใต้ ความรวดเร็ว ข้อมูลที่มาพร้อมเพรียงกัน และมาเหมือนกัน และคนที่เล่นเฟชบุ๊ค ใช้สื่อมากขึ้น แลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ดังนั้นการตัดสินในของคนก็อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร เมื่อสื่อและช่องทางการสื่อสารเฟชบุ๊คมีอิทธิพลมาก แม้เฟซบุ๊ค จะมีประโยชน์ ต่อการสื่อสาร ขณะเดียวกัน ก็มีผลกระทบตามมาเฉกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ เฟชบุ๊คเข้ามาแทรกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คนและสังคมเริ่มเข้าสูยุคแห่งข่าวสาร คือ การตัดสินใจทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางสังคมออนโลน์ สังเกตง่ายๆว่า เช้าๆ บนรถโดยสารสาธารณะ หรือรถไฟฟ้า จะเห็นผู้คนอยู่กับมือถือ หรือเครื่องมือสื่อสารเพื่อดูข่าวสาร หรือ อ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคม


ในอดีตสื่อใช้เป็นเครื่องมือมากมาย เช่น ในการเมืองในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว อิตเลอร์ ใช้สื่อวิทยุ และภาพยนตน์ในการปลุกระดมให้คนเยอรมันลุกมาเข่นฆ่าชาวยิว หรือ ใน อเมริกายุคหนึ่งคนอเมริกาแตกตื่น มนุษย์ต่างดาว บกโลก โดยคนเชื่อข่าวรายการวิทยุ หรือยุคที่ละครทีวีและภาพยนตน์ เจริญก้าวหน้า ก็มีคำถามตามมามากมายเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อที่มีผลต่อความรุนแรงของคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน หรือการเข้ามาของโลกออนโลน์ ในเทคโนโลยีร์ ผ่านคอมพิวเตอร์ ก็มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมากมาย ว่ามีทั้งด้านดี และด้านลบ แน่นอนสื่อนอกจากเป็นเครื่องมือการสื่อสาร ติดต่อระวังกัน อย่างลืมไปว่า คนที่เข้ามาสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตเฟซบุ๊ตก็มีหลายประเภท เฉกเช่นเดียวกัน เหมือนที่ผู้เขียนได้หยิบยกแยกประเด็น ประเภทคนที่เล่นเฟซบุ๊ค ว่าแต่ละคนที่เล่นมีเป้าประสงค์ต่างกัน ที่ชัดเจนมากที่สุด คือ กลุ่มที่เข้ามาค้าสินค้าและบริการ เขาย่อมมีเป้าประสงค์ในการขายสินค้าของบริษัทของเขา หรือ .กลุ่มคนที่เก็บกด หรือ กลุ่มที่อยากแสดงความสามารถ ก็อยากแสดงให้เห็นการยอมรับ.


ที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมา เพื่อแสดงให้เห็นว่า การที่เราจะเลือกใครเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ ในเฟซบุ๊ค เรารู้จักเขาดีพอ หรือ เราเปิดรับเพื่อนใหม่เพราะอะไร ?และสิ่งที่ผู้เขียนอยากตั้งคำถามมากที่สุดคือ ผู้ใช้ที่เล่นเฟซบุ๊ค ตอนนี้เท่าทัน เทคโนโลยี เท่าทัน เฟซบุ๊คมากน้อยเพียงใด หรือเราเป็นผู้ใช้มัน หรือตอนนี้เราถูกเฟซบุ๊ตมันใช้งานเราอยู่ จนเป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้ามาออนไลน์เสมอ เพื่อยอกกับใครๆว่าเราคิดเราทำอะไร หรือ ตอนนี้เราอยากเป็นบุคคลสาธารณะ สื่อหล่อหลวมเรา หรือเราจะเป็นผู้กำหนด ตัวเรา...


โดย อาณาจักรโกวิทย์...

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าใน ตลาดบางกะปิ.

เรื่องเล่าใน ตลาดบางกะปิ...




คุณคิดว่าคนที่ขายของในตลาดสดทุกเช้าเป็นเป็นคนไทยไหม


ในตลาดสดสมัยก่อนเช้าๆ อาชีพที่ค้าขายขนแบก หาบ ขนสินค้าต่างๆ สมัยก่อนเป็นคนจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ปัจจุบันสังคมมีเปลี่ยนแปลงไป คุณคิดว่าใคร จะมาทำหน้าที่แบบนี้แทนคนไทย ที่ไม่ทำงานด้านนี้มันดูไม่มีศักดิ์ศรี เมื่อคนจีนร่ำรวยและเลิกทำแล้ว

ภายในสถานที่เปียกแฉะ ชื้นและมีกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กลิ่นอาหาร เสียงคนทำกับข้าว เคาะกระทะ ผัดอาหาร กลิ่นคลุ้งอบอวลทั่วตลาด เสียงคนเรียกลูกค้าเข้าร้าน ผู้เขียนได้ไปซื้อของในตลาดแห่งนี้มีโอกาสเจอผู้คนมากมายหลากหลาย ในตลาดบางกะปิ แต่ผู้เขียนไปสะดุดหู กับคนที่พูดไม่ชัด มีทานาคา สีเหลือง ที่ใช้หวี ทำเป็นแฉก วางกดทับหลายๆครั้งจนเป็นจุดวงกลมหนา ซึ่งเป็นเครื่องประทินผิว ที่เป็นที่นิยมของชาวพม่า ผมลองจึงสอบถาม และได้พูดคุยกับเขา ตอนที่คุยกันเขาไม่มีท่าที่ที่ตื่นเต้น หวาดกลัว เหมือนที่ผมเคยคุยกับคนต่างด้าวที่มาทำงานในเมืองไทยที่ผมเจอ โดยเขามีชื่อว่า นินี

นินี เป็นชาวพม่าเมือง ปากู ภาคกลางของพม่า อายุ 35ปี เขามีชื่อเล่นภาษาไทยว่า เอ๋ เขาเป็นลูกจ้างร้านขายของชำที่ตลาดบางกะปิมาแล้วหลายสิบปีเขาบอกว่า ที่ตลาดแห่งนี้มีแรงงานพม่าเยอะ.โดยส่วนใหญ่ รับจ้างทั่วไป มีตั้งแต่แบกน้ำแข็ง ขนผัก ขายเนื้อ ขายหมู ขายไก่ ขายของชำทั่วไป โดยเป็นอาชีพรับจ้างทั่วไปในตลาด ซึ่งตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกันแล้ว
เอ๋ เขาเล่าว่า เขาทำงานที่ตลาดบางกะปิ เขาชอบมากเพราะมีของกินของใช้ให้เลือกมากมายต่างจากเมืองที่เขาอยู่ ผู้คนก็น่ารัก เจ้านายก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี โดยเขาเล่าให้ฟังว่าค่าแรงที่นี้เขาทำตั้งแต่นายจ้างให้ค่าแรงเดือนละ 350 (สามรายห้าสิบบาท) ตอนนี้เขาได้ค่าจ้างวันละ 200บาทแล้ว เดือนหนึ่งก็ตก 6,000 บาท เขาเล่าว่าที่นี้ค่าแรงแพงกว่าที่พม่าเยอะมาก ที่โน้น ค่าแรงสูงสุดวันละ 80 บาทและต้องทำงานหนักมาก ที่นี้ เช่นน้องเขาทำงานที่โรงงานผลิตน้ำดื่มได้เงินน้อยและหนักกว่าเมืองไทยมาก เขาจึงพาน้องเขามาอยู่ที่ตลาดลาดแห่งนี้ด้วย

เขาเล่าว่าเขาเข้ามาเมืองไทย ที่แม่สอด จังหวัดตาก ตอนนั้นลำบากมาก เขาเล่าพร้อมกับน้ำตาว่า “ลักลอบเข้ามากับรถบรรทุกโดยสารที่ถูกดัดแปลงให้คนอยู่บนบนรถคับแคบมากและคลุมผ้าอย่างดีรถแออัด เบียดกัน แออัด มืดไร้แสงที่จะเล็ดรอดเข้ามา” เขาบอกกับผมพร้อมน้ำตาว่า “รถที่เขานั่งมาด้วยนั้นมีคนตายด้วยเพราะขาดอากาศหายใจ คนที่ตายนายหน้าก็โยนศพเขาก็ทิ้งไว้ข้างทางเส้นทางระว่างแม่สอด- ตาก เอ๋ เล่าต่อ เขาโชคดีที่ไม่ตาย และรถผ่านด้านตำรวจมาได้ เขาเล่าว่าเขาได้ยินข่าวเพื่อนที่ตามมาที่หลังต่อเจ้าเขาถูกจับ และทราบมาทีหลังว่าโดนติดคุกสองปี เอ๋เสริมว่า ขแหล่านั้นเสียโอกาสในการทำงานโดยที่คนทางบ้านไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำและรอคอยเงินเพื่อส่งกลับมายังบ้าน..



หลังจากที่เอ๋ได้มาทำงาน โดยนายหน้าพามาพบนายจ้าง เอ๋บอกว่าตอนนี้เขามีความสุข เขาซื่อสัตย์ต่อเจ้าของร้านไม่เคยขโมยเงิน ตอนนี้นายจ้างก็ไว้วางใจเขาให้ดูแลร้าน กว่าจะมาเจอนายจ้างดีๆ ที่ตลาดบางกะปิเขาเปลี่ยนนายจ้างมากว่า 10 คน จนกว่าจะได้เจอนายจ้างดีๆ เขายังเล่าว่าชาวพม่าเพื่อนเขาหลายคนในตลาดแห่งนี้ปัจจุบันใครจะมาทำงานที่เมืองไทยต้องจ่ายค่านายหน้า 16000 บาท โดยให้นายจ้างหักจากเงินเดือน



ชิด ชายหนุ่มวัย 27 ปี เคี้ยวหมาก ริมฝีปากแดง ฟันไม่เป็นสีดำ แต่มีคราบสีชา ของหมากเคลือบฟันอยู่ รูปร่างเขาสันทัด ผิวเหลือง ดูสะอาดสะอ้าน กว่าอีกสองคนที่มาจากเมืองปากู ที่ผมได้คุยด้วย พอได้คุยเลยได้ทราบว่าเขามาจากเมืองหลวงเก่าของพม่าคือเมืองย่างกุ้ง เขาเป็นแรงงานพม่าอีกคนที่มาทำงานในกรุงเทพ โดยเขาแปลกกว่า 2 คนที่ผมได้คุยด้วย คือเขาทำหนังสือเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว และลักลอบอาศัยอยู่ในไทย ให้เพื่อนหานายจ้างให้จนตอนนี้เขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานถูกกฎหมายแล้วเขาเล่าว่าถ้ามีเงินหน่อยเข้ามาเมืองไทยง่ายแต่จะทำงานเมืองไทยต้องมีคนรู้จัก เขาได้นายจ้างที่ทำงานตลาดบางกะปิ ขาจึงขายของร้านขายเครื่องใช้ในครัวเรือน เขาเล่าว่าเขาอยากกลับบ้านมากเพราะแม่เขาป่วย แต่นายจ้างไม่ให้กลับและยึดบัตรเอกสารทางรายการเกี่ยวกับเขาไว้หมด ทำให้เขาไม่ได้กลับ...เขาอยากกลับบ้านมาก...จะกลับก็กลับไม่ได้ถ้าไม่มีเอกสาร เขาอาจต้องโดนจับ และก็ติดคุก..เขาเล่าว่า ที่จริงเขาก็ไม่อยากกลับเพราะงานที่ทำในเมืองไทยสบายที่เขาทำอยู่ร้านชำ ไม่ต้องแบกหามมาก สบายกว่างานที่ประเทศเขาที่ต้องแบกหาม หามรุ่งกามค่ำ รายได้ก็ก็เยอะกว่า..งานก็มีทำมากมายมี คนก็มีอิสระ ข้าวของกินก็มีมากมาย


สู่ ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ เขาอยู่เมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก..สู่ มาทำงานเมืองไทย โดยเป็นพ่อครัวอยู่ร้านอาหารตามสั่งในตลาดบางกะปิ เขาเล่า อย่างยิ้มแย้ม สายตาเป็นเป็นมิตรฉายแววแห่งความสุข เขาบอกว่าเขาทำงานที่นี้ บ่ายสองโมง ถึง เที่ยงคืน มีวันหยุดหนึ่งวัน โดยเขาอยู่พักอาศัยกับเจ้าของร้านโดยได้เงินเดือน 6,500 บาท เท่าที่ผมสังเกตเขาเป็นชาวพม่าที่ดูแล้วน่าจะมีการศึกษาที่ดีหน่อยเพราะสังเกตในมือเขามีเอกสารอยู่ฉบับหนึ่ง เขาเล่าว่าเป็นหนังสือพิมพ์พม่า ซึ่งจะมีคนนำมาขายในตลาดไม่ใช่ใครที่ไหน คือเอ๋ นั้นเอง โดยเอ๋ รับมาจากนายจ้างที่ไปซื้อ และนำมาขายให้กับชาวพม่าที่สนใจเรื่องราวในพม่า โดยจะไม่ออกประจำเดือนหนึ่งอาจมี 1-2 ฉบับ สู่บอกกับผมว่าที่เขาอ่านเพราะทำให้เขารู้ความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ในประเทศเขาและทำให้หายคิดถึงครอบครัวเขา.


บางครั้งคนไทยเรารักความสะดวกสบายมากเกินไป คนที่เขาลำบากมากกว่าเราก็มีมากกมาย แต่เขาก็มีความสุขได้ท่ามกลางความลำบาก คนจีนสมัยก่อนที่มาอยู่เมืองไทย เก็บออมเล็กผสมน้อย สมัยนี้เป็นคนที่ร่ำรวยระดับประเทศ เจ้าของกิจการระดับโลก ระดับประเทศหลายคนที่ควบคุมเศรษฐกิจของคนไทย ไม่แน่นะครับคนพม่าที่ขยัน อดทน และทำงานส่งเงินกลับประเทศ ในอนาคตเขาอาจเป็นเหมือนคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ คือ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แม้บางครั้งจะมีคราบน้ำตาที่เขาสนทนากับผมก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเขาก็สุขตามอัตภาพของเขาได้ นี้คือเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในตลาดบางกะปิตลาด เราคนไทยแบบเราๆละครับ..วันนี้เรายังรอเงินเดือนภาครัฐ ค่าจ้าง 300 บาท หรือเราจะทำงานก้มหน้าก้มตาม ทำอะไรก็ทำเหมือนที่คนพม่าเขาทำอยู่ตอนนี้....


โดย อาณาจักร โกวิทย์

วันที่ ทำอะไรแล้วเหนื่อย แต่ใจชุ่มปอด..:)

"ทุกคนพยายามหาว่าความสุขอยู่หนใด
ทุกคนพยายามหาว่าความสุขเป็นตัวอย่างไร...
และหลายคนอยากมีความสุข....
มันจะดีไม่น้อย...ถ้าเราสามารถอยู่กับความสุขนั้น...โดยที่เราไม่โหยหา พยายามที่จะมีความสุข...
แต่ทุกคนสร้างมันขึ้นมาได้..ภายในใจของเรานี้เอง.."







วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุข อีกหนึ่งวันเพราะผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ คือ นำความรู้วิชาที่ตนเองได้เรียนมาแบ่งปันให้กับเพื่อนร่วมเรียน


บรรยายกาศวันนี้ ๑๙ กันยายน เป้นวันที่ทุกคนไม่มีเรียน แต่หลายคนต้องมามหาวิทยาลัย เวลา๙ โมง ตอนแรกผมนึกในใจว่าคงไม่มีใครมากมายหรอก

แต่ทุกคนทยอยมามีคนมาติวครั้งนี้ เกือน ๑๕ คน...

สิ่งที่ผมนึกสิ่งแรก จะติวกันตรง เพราะที่เรานัดกันไว้ที่ตึกแสบ(Sbb) ผมว่ามันค่อนข้างเป็นพื้นที่เปิด..หลายคนยังไม่มีสมาธิในการติวแน่ๆ ผมจึงบอกเพื่อนๆ..ให้รอก่อนผมกำลังจะไปขอห้องแอร์ปรับอากาศ เพื่อให้เพื่อนผมได้ติวกันอย่างมีสาธิและอากาศไม่ร้อน แต่น่าเสียดายเพราะวันนี้ ห้องไม่ว่างมีติวกฎหมายสำหรับนักศึกษา อีกกลุ่มหนึ่ง

แต่ไม่เป็นไร (ผมนึกในใจ) เรามีพื้นที่ศูนย์ฯ(ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ใต้ตึกแสบ) บรรยากาศน่าจะเป็นสถานที่เงียบ...

ก็ได้เริ่มเวลาติวแล้วหลังจากที่ได้พื้นที่...วิชาที่เราติวกัน มีวิชา การเขียน 202 201 101 เขียนสามวิชาเลย..

การติววิชาแรกมันใช้เวลามาก เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานอีกหนึ่งวิชาการเขียน เราจึงใช้เวลานานพอควร..ที่สำคัญผมอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของการมีส่วนร่วมเป็นอย่าง...

ผมจึงเหมือนแกนนำกระบวนการเพื่อให้ทุกคนแชร์...ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีบทบาท และที่สำคัญการสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นเป็นกัน...ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อน พี่น้อง ที่มาติวรู้สึก..อย่างไร...


สิ่งที่ผมเห็นวันนี้...นอกจากมาติวกัน..ทุกคนมาด้วยความหวัง..ว่า อยากได้แนวข้อสอบ...ว่าจะออกอะไรบ้าง..
แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น คือ..ความรู้ ที่เราจะเอาไปตอบข้อสอบ..มันสำคัญมากกว่า...แนวข้อสอบ..

วันนี้ผมจึงพยามให้เพื่อนๆหลายคนช่วยแชร์...และให้หลักการเขียน..แนวทางการเขียน..ข้อสอบ..มันสำคัญมาก..

การติวนั้น จริงๆแล้วมัน คือการแลกเปลี่ยน ว่าคุณเข้าใจ ว่าอย่างไร ในประเด็นนั้น..เพื่อนๆก็มาแชร์ ว่าสิ่งที่คุณพูดมันใช่ไหม..บางครั้งเราอาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม...จากเพื่อนก็ได้..สิ่งนี้มันสำคัญและวิเศษมาก กว่าการทำความเข้าใจด้วยตนเอง...นี้คือเสน่ห์ของการติว...


วันนี้ผมพูดมาก...และเจ็บคอมาก..เพราะต้องแข่งกับเสียงพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนกัน...
แต่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย..เพราะผมเต็มที่ เต็มใจ ที่อยากมาแลกเปลี่ยน..

ในใจผมยิ้ม อยู่เสมอ...ผมมองแววตาเพื่อน พี่ น้อง...ภาพของเขาติดตามผม...ผมต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ทำให้หัวใจผมชุ่ม..ด้วยน้ำใสใจจริง จากเพื่อน...


และผมอยากบอกว่า..การเรียนสิ่งสำคัญที่สุด คือ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน...ถ้าวันหนึ่ง..ลองนึกดูถ้าเราประสบความสำเร็จในชีวิต..ถ้าเรายืนสูง อยู่คนเดียว..ผมว่ามันหนาวนะ....