วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดเรื่องน้ำท่วม..

วันก่อนน้ำท่วม กรุงเทพ 28 พ.ย.

,,,,,,,,วันนี้เป็นวันที่รถในกรุงเทพฯ ถนนโล่ง เดินออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัยปกติใช้เวลา 15 นาที วันนี้ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง มหาวิทยาลัยแล้ว. ผมคิดว่าคงไป ตจว.กัน เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการยาว หรือนำรถไปจอดตามที่สูง ซึ่งช่วงนี้ไม่ต่างจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาล สงกรานต์ ปีใหม่เลย แต่ผมเดินไปทางไหนวันนี้ บ้านเมืองเราไม่ปกติเหมือนเดิมแล้ว เพราะ ไม่ว่าจะเดิน ไปห้าง ร้าน หรือบ้านประชาชนก็จะเจอ การก่ออิฐถือปูนสูงเกือบครึ่งเมตรเป็นอย่างน้อยทั่วไป.....

ช่วงที่เดินผ่านผู้คน หลายๆคน ผมสังเกตว่าหลายๆคน อยู่ในบรรยากาศความเครียด หวาดกลัว วิตกกังวล ที่จะเกิดจากน้ำท่วมอาจเป็นเพราะเรารับข้อมูลข่าวสาร ต่างๆจำนวนมากนั้นเอง ส่วนผมเองก็ตกใจไม่ต่างจากเขาเหล่านั้นหรอกครับ..เพราะเป็นผู้เสพข่าว บริโภคข่าวสารอยู่ทุกวันเฉกเช่นหลายๆคนในยุคของโลกข้อมูลข่าวสาร เราจะดำเนินชีวิต หรือทำกิจกรรมกรรมอะไร..ข้อมูล ข่าวสาร เป็นส่วนหนึ่ง กรอบข้อมูล และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญแล้วในการตัดสินใจของเรา


ปรากฏการณ์ใน เฟซบุ๊ค ที่ผมเล่นอยู่ทุกวัน เป็นเครือข่ายออนไลน์ ที่เชื่อมคน เชื่อมโลก แห่งข้อมูลข่าวสารมากมากมายที่เร็วและถึงต่อกัน และมีการตอบกลับอย่างรวดเร็ว...ปรากฏการณ์ที่ผมรับอยู่ มันมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริง และข่าวลือ แล้วข่าวจริงมันคืออะไร ? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนจะรับมือกันอย่างไร...ถ้ารับมันไม่ได้ก็เกิดเป็นความเครียดตามมา....


แต่เท่าที่ผมสังเกตตามข่าวใน เฟชบุ๊ค จะมีข่าวที่นำเสนออยู่ สองประเภท คือ ภาพสถานการณ์ ความเสียหาย การโจมตีของน้ำ การออกมาเตือน ป้องกัน การคาดเดาสถานการณ์ ของนักวิชาการหลายสำนัก ความหนักหนาความรุนแรง ฯลฯ อีกด้านหนึ่งนำเสนออีกประเด็น คือ การเยียวยา การช่วยเหลือ อาสาสมัคร ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ช่วงวิกฤต น้ำท่วม ฯลฯ
ในสังคมออนไลน์จะนำเสนอมุมมองประมาณนี้ แต่ผมยังไม่ค่อยเห็น คนยินดี หรือ ดีใจกับน้ำท่วมเลย...สมัยก่อนเรามีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรือ เกี่ยวข้องกับน้ำมากมาย จนเกิดเป็นเพลงสนุกสนาน เช่น เพลงเรือ หรือน้ำหลากช่วยป้องกันศัตรูที่จะมารุกรานเรา ฯลฯ


อาจเป็นเพราะบ้านเมืองเราแตกต่างจากอดีต ทั้งสภาพสังคม เศรษฐกิจ บ้านเรือน สถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้าง... ใน อดีตเราปลูกสร้างบ้านเรือนชั้นเดียวยกพื้นสูง ปัจจุบันเรานิยมบ้านก่ออิฐถือปูน ชั้นเดียวหรือสองชั้นตามแบบตะวันตก...น้ำหลากก็เลยมองว่าน้ำท่วมบ้านแล้ว...ถ้าย้อนเวลาไปได้เหมือน แม่มณีในทวิภพ คนสมัยนั้นคงอาจบอกว่าน้ำมาแล้วได้เวลาล่องเรือหาปลา หรือ น้ำนำตะกอนความอุดมสมบูรณ์มากอีกแล้ว....แต่ปัจจุบันน้ำมา..มีแต่กลัวว่าจะท่วมบ้านเราไหม จะป้องกันอย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร.เราเจอน้ำเสียไหม มีสารเคมีไหม กลัวขยะที่มากับน้ำ..?

อย่าลืมนะครับ...ถ้าเราดูแผนที่เมือพันกว่าปี ปากน้ำเจ้าพระยาแทบนี้ก็เคยเป็นทะเล เพิ่งถูกทับทมมาเป็นแผ่นดิน ด้วยน้ำท่วม และตะกอนจากน้ำท่วมเราจึงมีแผ่นดินอยู่..เป็น กทม. ทุกวันนี้


นี่แหละนะความเจริญที่เรากำลังทำตัวออกห่างจากธรรมชาติ...คนอดีตเขาอยู่กับธรรมชาติปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ คนสมัยนี้พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ....เมื่อมีการฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ได้เอาคืนนะครับ... เขากำลังที่จะปรับสมดุลของเขาจากการฝืนธรรมชาติของมนุษย์....ที่จะเอาชนะและอยู่เหนือธรรมชาติ...ทั้งที่เราทั้งหลายอยู่ในธรรมชาติ

ท่านพุทธทาส ก็เคยกล่าวว่า ธรรมะ ก็ คือ ธรรมชาติ...:)

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อโซเชียลมีเดียน่าเชื่อถือกว่ารัฐ ได้เวลาหยุดสงครามน้ำ(ลาย)

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2011 เวลา 22:12 น. เขียนโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร หมวด เวทีทัศน์

สถานการณ์อุทกภัยที่ว่ากันว่าร้ายแรงระดับ "สึนามิน้ำจืด" นั้น ประเด็นปัญหาที่พูดกันว่าเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้วิกฤติลุกลามเกินควบคุมคือ "การสื่อสารในภาวะวิกฤติ" ซึ่งพูดได้ว่าล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรสายเกินไป ในห้วงแห่งวิกฤติที่สังคมไทยยังต้องเผชิญไปอีกแรมเดือน ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ ศาสตราจารย์ จากภาควิชาประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและเสนอทางออกให้สังคมร่วมกันพิจารณา

"จริงๆ แล้วตัววิกฤติมีพัฒนาการของมัน ณ ตอนต้นถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้ามีการพูดจากันแบบตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้น เปิดให้สื่อสารแบบที่สถาพระปกเกล้าชอบใช้ เรียกว่าสานเสวนาหรือสุนทรียาสนทนาก็แล้วแต่ คือคุยกันแบบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เคารพความคิดซึ่งกันและกันว่าปัญหานี้หนักหนาแค่ไหน ไม่ใช่โยนภาระให้รัฐบาลรับผิดชอบฝ่ายเดียว ใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันทำไปก่อน สถานการณ์จะดีกว่าวันนี้มาก" ดร.ปาริชาต ระบุถึงต้นตอของปัญหา พร้อมฉายภาพที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน

"สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ณ วันนั้นเป็นข่าวลือ แต่วันนี้เป็นข่าวจริง เมื่อข่าวลือกลายเป็นข่าวจริงก็ย้อนไปดิสเครดิตคนที่คุมนโยบายทั้งหมด ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว แต่เป็นทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน"

ดร.ปาริชาต อธิบายต่อว่า เมื่อเกิดข่าวลือและประชาชนเริ่มไม่เชื่อมั่นภาครัฐ การสื่อสารข้อมูลจึงไหลเข้าไปใน "โซเชียลมีเดีย"

"อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่ข่าวลือที่กลายเป็นจริง จึงเริ่มเห็นการกักตุนน้ำ เตรียมตัวรับน้ำท่วม ทำให้น้ำหายไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ต กลุ่มที่เริ่มขึ้นกระสอบทรายกลุ่มแรกๆ เป็นการส่งสัญญาณไม่ใช่ด้วยวาจา แต่เป็นภาษาการกระทำ ทำไมธนาคารตรงสีลมขึ้นกระสอบทรายตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ก่อน หน่วยงานของรัฐก็ด้วย โรงแรมดังๆ ก็เช่นกัน ประชาชนจึงยิ่งหวาดผวา เป็นภาพจากโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นวิกฤติ"

ดร.ปาริชาต ชี้ว่า แม้สถานการณ์บานปลายมาถึงขณะนี้ แต่ปัญหาเรื่องการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินยังไม่ดีขึ้น และไม่ได้รับการแก้ไข

"ยกตัวอย่างเรื่องของรถ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งบอกไม่ให้เอาไปจอดบนสะพาน บนทางด่วน คนยิ่งเอาไปจอด เพราะประชาชนต้องกระเสือกกระสนเนื่องจากขาดที่พึ่ง สิ่งที่ประชาชนต้องการวันนี้คือความเชื่อมั่น เราไม่สามารถเชื่อมั่นเรื่องการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐได้"

"วันนี้ต้องยอมรับว่าน้ำมาและต้องอยู่กับน้ำอย่างน้อย 1 เดือน แต่มีใครทำหน้าที่บอกกับประชาชนหรือยังว่าเราจะอยู่กับน้ำอย่างไรในแบบที่ เอาสังคมเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง วันนี้เราจึงกำลังเรียนรู้การอยู่กับน้ำแบบเอาตัวรอด ตัวใครตัวมัน สถานการณ์จึงยิ่งวิกฤติกว่าเรื่องน้ำท่วม เพราะขาดทั้งน้ำใจ เจอน้ำเหนือ น้ำเน่า และน้ำลาย"

ยิ่งไปกว่านั้น ดร.ปาริชาต เห็นว่าแม้รัฐบาลจะเริ่มตั้งหลักตอนนี้ก็ยังยาก เพราะข้อมูลข้อเท็จจริงมีหลายชุด

"ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายการเมืองที่ไม่ใช่รัฐบาล กรมชลประทาน หรือนักวิชาการ ต่างมีความจริงคนละชุดกัน และมีข้อเสนอไปคนละทาง ทำให้ประชาชนไม่รู้จะเชื่อใคร ผลจึงไม่ใช่การตื่นตัว แต่เป็นการตื่นตระหนก อย่างตอนนี้ดอนเมืองถูกปิด สนามบินสุวรรณภูมิจะถูกปิดหรือเปล่า ก็เริ่มลือออกมาแล้ว เพราะดูจากการย้ายเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ไม่ได้ย้ายไปสุวรรณภูมิ แต่ย้ายไปที่อื่นที่ไกลออกไป เป็นการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดแต่ทำให้คนเชื่อมากกว่าคำพูด"

"จึงไม่แปลกที่วันนี้คนตื่นตระหนก ไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะแก้ตัว ใครจะขอโทษ ประชาชนคิดแต่ว่าจะอยู่กับสิ่งที่เจออย่างไร และใครจะการันตีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ รัฐบาลออกมาเรียกร้องให้ประชาชนมีสติ แต่จริงๆ แล้วสติตก ตระหนกเพิ่มขึ้น ตระหนักไม่มี เพราะไม่รู้ว่าใครมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างแท้จริง"

เมื่อเกิดวิกฤติซ้อนวิกฤติ ดร.ปาริชาต เสนอว่า ทางออกคือต้องใช้ภาวะของผู้นำทุกระดับด้วยการนำแบบมีสติ

"สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยได้คือการโชว์ภาวะการนำของผู้นำ ไม่ว่าจะระดับชาติ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น ระดับหน่วยงาน หรือแม้แต่โรงงาน ต้องโชว์ภาวะการนำแบบมีสติว่าใครควรทำอะไร เอาข้อมูลมาเปิดกันโดยไม่ใช่การเล่นละครหรือใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการชิง ดีชิงเด่น เอาหน้า เอาผลงาน"

"วันนี้สถานการณ์จริงเป็นอย่างไร คนที่คุมข้อมูลอยู่ได้ข้อมูลจริงทุกมุมหรือไม่ หรือได้เพียงแค่มุมเดียว เพราะมีระบบการบล็อคข้อมูล หรือเป็นข้อมูลที่ตนเองไม่เชื่อ สูตรการคำนวณก็มีหลายสูตร ฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องถกแล้วว่าปัญหาคืออะไร เพราะไม่มีทางเลือก ไม่มีอะไรดีที่สุด ทุกทางต้องเสีย เพียงแต่ทางไหนเสียน้อยที่สุดเท่านั้น จึงเป็นภาวะผู้นำที่จะต้องโชว์ศักยภาพ แต่ถ้าผู้นำออกทีวียังเสียงสั่นเครือ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งหาย"

"ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องเอาข้อมูลมาตีแผ่ หยุดกั๊ก ต้องพูดคุย ต้องยอมเจ็บ ใครจะยอมเจ็บมาก ใครจะยอมเจ็บน้อย ทำอย่างไรให้เกิดคำว่าแฟร์ (เป็นธรรม) ในสูตรแก้วิกฤติไม่มีคำว่าการเมือง ต้องทิ้งการเมือง แล้วร่วมไม้ร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำให้สื่อเห็นแล้วสร้างวาทกรรม และสิ่งสำคัญที่สังคมไทยขาดมากๆ เลยคือวินัย"

ส่วนบทบาทของ สื่อแขนงต่างๆ ดร.ปาริชาต ชี้ว่า น่าจะเป็นช่องทางเสนอข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง แต่จากการรับสื่อ เช่น สื่อทีวี จะเห็นว่าประเด็นที่เสนอความจริงได้อย่างดีคือมุมของปัญหาว่ามีปัญหาอะไร เกิดขึ้น แต่มุมที่เป็นทางออกยังต้องตั้งคำถามว่าใครคือเจ้าของสื่อ

"ถ้าเป็นช่องของทหารก็จะเสนออย่างหนึ่ง ทีวีไทยก็อีกแบบหนึ่ง ช่อง 11 ก็อีกแบบหนึ่ง เนื้อหาที่สื่อสารยังขาดความเป็นเอกภาพ ผิดหลักการสื่อสารในภาวะวิกฤติ ฉะนั้นจำเป็นต้องมีผู้นำที่อาจจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำที่คนเชื่อ แล้วบอกว่าประชาชนจะต้องทำอะไรกันบ้าง"

อย่างไรก็ดี ดร.ปาริชาต ยอมรับว่า สถานการณ์ของสื่อขณะนี้มีภาวะแข่งขันกันมาก ต้องเสนอข่าวด่วนสุด เร็วสุด และเป็นดราม่าสุดๆ ฉะนั้นสื่อต้องเปลี่ยนการแข่งขันเป็นความร่วมมือ เป็นสื่อเฉพาะกิจ ไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์ แล้วเสาะหาข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมากๆ มาเผยแพร่ เพราะสื่อเข้าถึงทุกคน ทุกหน่วยงาน

"อยากให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ หรือสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ทำบทบาทตรงนี้ เพื่อสร้างเอกภาพในการนำเสนอข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วว่าน่าเชื่อถือ คนจะได้มีความหวังจากสื่อที่ร่วมมือกันมากกว่าคอยโซเชียลมีเดียซึ่งต้องตรวจ สอบตัวบุคคลที่ให้ข้อมูลว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ"

ดร.ปาริชาต กล่าวด้วยว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ยังยืดเยื้อไปอีกนานและมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการคิดระบบเยียวยาหลังจากน้ำลด เรื่องโรคระบาด ภาวะขาดแคลนอาหาร และปัญหาในระบบเศรษฐกิจ การเงิน ซึ่งจะพึ่งรัฐอย่างเดียวคงยาก ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน แม้จะยังมีความขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันอยู่ก็ตาม

"เราโชคร้ายที่เกิดเรื่องภายใต้ความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นแม้จะนำวาทกรรมสามัคคีขึ้นมาเป็นเกราะ แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังเป็นความขัดแย้ง ต่อสู้ช่วงชิงกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันระหว่างค่ายต่างๆ ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ทำให้มาตรการว่าด้วยการบริหารจัดการวิกฤติที่เคยประสบความสำเร็จในประเทศ อื่นๆ ทั้งอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ไม่สามารถนำมาใช้ในประเทศไทยได้เลย"

"ฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจึงไม่ใช่การจัดฉาก แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจจากใจจริงๆ เราควรหยุดด่า หยุดบ่นกันได้แล้ว และลงมือช่วยกันแก้ไขวิกฤติเสียที" .



ขอบคุณ : ภาพประกอบจากศูนย์ภาพเนชั่น

ที่มา : http://www.isranews.org/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C/item/4102-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3(%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2).html#.TqrNAhI20hE.facebook

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา

การตั้งกระทู้นี้ เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

ตามที่ลิงก์ http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6424.0

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความสามัคคีของคนไทย

“ ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องให้ ขอเพียงมีใครปลอบใจสักคน
ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้งบนหนทางไกล

กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิตได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง
กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝนบนฟากฟ้าไกล ที่หยาดรินสู่ผืน ดินแห้งผาก”




ช่วงนี้บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่ต้องท้าทายความสามัคคีของคนทั้งชาติ นับตั้งแต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงมีคนตาย กลายเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อช่วงสงกรานต์เลือดปีที่ผ่านมา..
ร่องรอยแห่งความสูญเสีย และเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีร่องรอยแห่งความบวบช้ำที่ยังหลงเหลือไออุ่นแห่งเหตุการณ์

แต่หน้าฝนปีนี้ฟ้าฝน หรือกำลังร้องไห้เสียใจ กับเหตุการณ์ที่คนไทยขาดซึ่งความสามัคคี เลย ปล่อยเม็ดฝนเม็ดใหญ่กลายเป็นมวลน้ำมหาศาล ชะล้างทำความสะอาดผืนแผ่นดิน...ที่ร้อนระอุ ไอแห่งความเกลียดชังที่กำลัง ครุกรุ่นที่กำลังมอดหรือจะระอุมาอีกครั้ง

นอกจากน้ำที่มามากมายมหาศาลจะมาทำความสะอาดผืนแผ่นดินด้วยน้ำฝน แต่ก็ทิ้งคราบน้ำตาและความสูญเสียร้อยกว่าชีวิตในหน้าฝนปีนี้...

เราไม่รู้ว่าสิ่งเหลวร้าย บาดหมางจิตใจทางการเมืองจะหมดไปวันไหนจากจิตใจของคนไทย..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ในและหลังเหตุการณ์ ทุกครั้งที่ผ่านมา หลังเหตุการณ์ทางการเมือง คนลุกมาทำความสะอาดบ้านเมือง ช่วยกันปัด กวาด เช็ดถู ถนน อาคาร สถานที่

รวมทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ล้นมากกว่าน้ำที่หลากมา คือน้ำใจ ของคนไทยที่ ที่ช่วยเหลือกัน...


ผมเชื่อว่าน้ำใจของคนไทย..มันจะชโลม โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง..ให้คนไทยที่ประสบอุทกภัยครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะพลัง ความสามัคคี ของคนไทยทั้งชาติ...

ค่ำคืนฝนตกปรอยๆ ณ บ้านผีสิง ลาดพร้าว 130

10 ตุลา

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย

ประวัติ

เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย เป็นโครงการศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล เริ่มแรกพัฒนาโครงการโดยเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นโดยมีห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เป็นผู้พัฒนาพื้นที่โครงการ แต่เนื่องจากทางเครือเซ็นทรัลเห็นศักยภาพของเมืองเชียงรายในอนาคต ซึ่งเป็นพื้นที่ประตูการค้าที่สำคัญของประเทศ เชื่อมโยงการค้าการลงทุน 4 ประเทศ ตามแผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) และสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ไทย ลาว พม่า และจีน หรือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง(GMS : Greater Mekong Sub-region) จึงได้ส่งต่อโครงการให้เซ็นทรัลพัฒนาเข้าพัฒนาโครงการ เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย

เริ่มแรกในระหว่างการพัฒนาโครงการ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นซึ่งจัดตั้งบริษัทตัวแทนจดทะเบียนในนาม บริษัท ไทยพัฒน์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด เข้าซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แต่โครงการได้เลื่อนมาหลายปี เพราะพิษเศรษฐกิจ และปัญหาเรื่องพื้นที่การก่อสร้างอยู่ในเขตพื้นที่สีแดง ห้ามก่อสร้างค้าปลีกเกิน 300 ตรม.ในเทศบาลนครเชียงราย จน ต้นปี พ.ศ. 2553 ภายหลังจึงได้อนุมัติให้จัดสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้ขึ้นได้ โดยไม่เข้าข่ายค้าปลีก และไม่ขัดต่อกฎหมาย โครงการนี้จึงได้ถ่ายโอนมาให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เข้ามาดูแล และจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นดูแลในนาม บริษัท ซีพีเอ็น เชียงราย จำกัด ซึ่งดำเนินการโดยการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (จำกัด) มหาชน ("บริษัทฯ") เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 ในการอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท ไทยพัฒน์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ("บจ.ไทยพัฒน์ฯ") โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 99.99 ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนและ เปลี่ยนชื่อบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 โดย มีการ ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน จากทุนจดทะเบียน 100,000 บาท เพิ่มขึ้น 699,900,000 บาท เป็น 700,000,000 บาท แบ่งออกเป็นจำนวนหุ้น 70,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว สัดส่วนร้อยละ 25% ของทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเงินจำนวน 174,975,000 บาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวมี วัตถุประสงค์เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในอนาคต และดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีพีเอ็น เชียงราย จำกัด และในการนี้ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบริหารโครงการเซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี ด้วย

โดยโครงการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ และ เริ่มก่อสร้าง 29 เมษายน 2553 โดยเปิดให้บริการชาวเชียงราย จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้านตามแนวความร่วมมือในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยจีน พม่า และลาว ในวันที่ 30 มีนาคม 2554 โดยรูปแบบของห้างเน้นสถาปัตยกรรมล้านนา ความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ ด้วยสไตล์บูติก เน้นความโปร่งสบายและอากาศภายนอกเย็นสบายหนุมเวียนเพื่อเพื่มบรรยากาศการจับจ่าย

ข้อมูลตรงนี้ผมเขียนเอง ใน http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2_%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2

'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์ ซีอีโอแสนล้านค่าย Apple ยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์

'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์ ซีอีโอแสนล้านค่าย Apple ยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์

แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา

สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย

กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้

• ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

สตีเฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

เมื่อโตขึ้นจอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้

ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป

• ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง

ในปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ

หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง

ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)

• เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

ในปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!

จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า “มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ

ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน

• พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

เมื่อจอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

เรื่องนี้เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน

แต่แล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง

จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

หลังจากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story

ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple

• ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

เมื่ออายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

จอบส์เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

“วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”

จอบส์พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรงและไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้านและจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”

แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน

ซีอีโอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า

“ไม่มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”

จอบส์ได้เตือนว่า “เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”

ทุกวันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ

9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

ไม่มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า

มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

อย่ามองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

คุณเบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกดดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า เบื้องต้นประเทศจีนมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ไปเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงของ จังหวัดเชียงรายแทน ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นระหว่างประเทศจีนกับประเทศลาว ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนมายังเวียงจันทน์ได้เป็นที่เรียบร้อย

"ตอนนี้การหารือระหว่างจีนกับลาวเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงยังไม่มีความคืบหน้า เพราะทางการลาวยังไม่ยอมรับเงื่อนไขที่จีนต้องการ และไม่ยอมให้จีนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านลาว ดังนั้นทางจีนจึงอาจจะตัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเข้ามาดำเนินโครงการกับทางไทยก่อน โดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อย่นระยะทางจากไทยไปยังจีนให้สั้นลงด้วย สำหรับความคืบหน้าในโครงการดังกล่าวทางตัวแทนจากประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามาหารือกับทางกระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการ"

รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯหนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มีปัญหาเนื่องจากรัฐบาลลาวเกรงว่าทางรัฐบาลจีนจะเข้ามาครอบครองประเทศลาวจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากทางการจีนได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาภายหลังได้ลงนามความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับรัฐบาลลาวแล้ว ทางรัฐบาลลาวจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และส่งผลให้โครงการไม่สามารถวางศิลาฤกษ์ตามที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาให้เรียบร้อยได้

http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43