วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดเรื่องน้ำท่วม..

วันก่อนน้ำท่วม กรุงเทพ 28 พ.ย.

,,,,,,,,วันนี้เป็นวันที่รถในกรุงเทพฯ ถนนโล่ง เดินออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัยปกติใช้เวลา 15 นาที วันนี้ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง มหาวิทยาลัยแล้ว. ผมคิดว่าคงไป ตจว.กัน เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการยาว หรือนำรถไปจอดตามที่สูง ซึ่งช่วงนี้ไม่ต่างจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาล สงกรานต์ ปีใหม่เลย แต่ผมเดินไปทางไหนวันนี้ บ้านเมืองเราไม่ปกติเหมือนเดิมแล้ว เพราะ ไม่ว่าจะเดิน ไปห้าง ร้าน หรือบ้านประชาชนก็จะเจอ การก่ออิฐถือปูนสูงเกือบครึ่งเมตรเป็นอย่างน้อยทั่วไป.....

ช่วงที่เดินผ่านผู้คน หลายๆคน ผมสังเกตว่าหลายๆคน อยู่ในบรรยากาศความเครียด หวาดกลัว วิตกกังวล ที่จะเกิดจากน้ำท่วมอาจเป็นเพราะเรารับข้อมูลข่าวสาร ต่างๆจำนวนมากนั้นเอง ส่วนผมเองก็ตกใจไม่ต่างจากเขาเหล่านั้นหรอกครับ..เพราะเป็นผู้เสพข่าว บริโภคข่าวสารอยู่ทุกวันเฉกเช่นหลายๆคนในยุคของโลกข้อมูลข่าวสาร เราจะดำเนินชีวิต หรือทำกิจกรรมกรรมอะไร..ข้อมูล ข่าวสาร เป็นส่วนหนึ่ง กรอบข้อมูล และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญแล้วในการตัดสินใจของเรา


ปรากฏการณ์ใน เฟซบุ๊ค ที่ผมเล่นอยู่ทุกวัน เป็นเครือข่ายออนไลน์ ที่เชื่อมคน เชื่อมโลก แห่งข้อมูลข่าวสารมากมากมายที่เร็วและถึงต่อกัน และมีการตอบกลับอย่างรวดเร็ว...ปรากฏการณ์ที่ผมรับอยู่ มันมีทั้งข้อมูลที่เป็นจริง และข่าวลือ แล้วข่าวจริงมันคืออะไร ? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนจะรับมือกันอย่างไร...ถ้ารับมันไม่ได้ก็เกิดเป็นความเครียดตามมา....


แต่เท่าที่ผมสังเกตตามข่าวใน เฟชบุ๊ค จะมีข่าวที่นำเสนออยู่ สองประเภท คือ ภาพสถานการณ์ ความเสียหาย การโจมตีของน้ำ การออกมาเตือน ป้องกัน การคาดเดาสถานการณ์ ของนักวิชาการหลายสำนัก ความหนักหนาความรุนแรง ฯลฯ อีกด้านหนึ่งนำเสนออีกประเด็น คือ การเยียวยา การช่วยเหลือ อาสาสมัคร ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ช่วงวิกฤต น้ำท่วม ฯลฯ
ในสังคมออนไลน์จะนำเสนอมุมมองประมาณนี้ แต่ผมยังไม่ค่อยเห็น คนยินดี หรือ ดีใจกับน้ำท่วมเลย...สมัยก่อนเรามีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรือ เกี่ยวข้องกับน้ำมากมาย จนเกิดเป็นเพลงสนุกสนาน เช่น เพลงเรือ หรือน้ำหลากช่วยป้องกันศัตรูที่จะมารุกรานเรา ฯลฯ


อาจเป็นเพราะบ้านเมืองเราแตกต่างจากอดีต ทั้งสภาพสังคม เศรษฐกิจ บ้านเรือน สถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้าง... ใน อดีตเราปลูกสร้างบ้านเรือนชั้นเดียวยกพื้นสูง ปัจจุบันเรานิยมบ้านก่ออิฐถือปูน ชั้นเดียวหรือสองชั้นตามแบบตะวันตก...น้ำหลากก็เลยมองว่าน้ำท่วมบ้านแล้ว...ถ้าย้อนเวลาไปได้เหมือน แม่มณีในทวิภพ คนสมัยนั้นคงอาจบอกว่าน้ำมาแล้วได้เวลาล่องเรือหาปลา หรือ น้ำนำตะกอนความอุดมสมบูรณ์มากอีกแล้ว....แต่ปัจจุบันน้ำมา..มีแต่กลัวว่าจะท่วมบ้านเราไหม จะป้องกันอย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร.เราเจอน้ำเสียไหม มีสารเคมีไหม กลัวขยะที่มากับน้ำ..?

อย่าลืมนะครับ...ถ้าเราดูแผนที่เมือพันกว่าปี ปากน้ำเจ้าพระยาแทบนี้ก็เคยเป็นทะเล เพิ่งถูกทับทมมาเป็นแผ่นดิน ด้วยน้ำท่วม และตะกอนจากน้ำท่วมเราจึงมีแผ่นดินอยู่..เป็น กทม. ทุกวันนี้


นี่แหละนะความเจริญที่เรากำลังทำตัวออกห่างจากธรรมชาติ...คนอดีตเขาอยู่กับธรรมชาติปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ คนสมัยนี้พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ....เมื่อมีการฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ได้เอาคืนนะครับ... เขากำลังที่จะปรับสมดุลของเขาจากการฝืนธรรมชาติของมนุษย์....ที่จะเอาชนะและอยู่เหนือธรรมชาติ...ทั้งที่เราทั้งหลายอยู่ในธรรมชาติ

ท่านพุทธทาส ก็เคยกล่าวว่า ธรรมะ ก็ คือ ธรรมชาติ...:)

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อโซเชียลมีเดียน่าเชื่อถือกว่ารัฐ ได้เวลาหยุดสงครามน้ำ(ลาย)

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2011 เวลา 22:12 น. เขียนโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร หมวด เวทีทัศน์

สถานการณ์อุทกภัยที่ว่ากันว่าร้ายแรงระดับ "สึนามิน้ำจืด" นั้น ประเด็นปัญหาที่พูดกันว่าเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้วิกฤติลุกลามเกินควบคุมคือ "การสื่อสารในภาวะวิกฤติ" ซึ่งพูดได้ว่าล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรสายเกินไป ในห้วงแห่งวิกฤติที่สังคมไทยยังต้องเผชิญไปอีกแรมเดือน ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ ศาสตราจารย์ จากภาควิชาประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและเสนอทางออกให้สังคมร่วมกันพิจารณา

"จริงๆ แล้วตัววิกฤติมีพัฒนาการของมัน ณ ตอนต้นถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้ามีการพูดจากันแบบตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้น เปิดให้สื่อสารแบบที่สถาพระปกเกล้าชอบใช้ เรียกว่าสานเสวนาหรือสุนทรียาสนทนาก็แล้วแต่ คือคุยกันแบบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เคารพความคิดซึ่งกันและกันว่าปัญหานี้หนักหนาแค่ไหน ไม่ใช่โยนภาระให้รัฐบาลรับผิดชอบฝ่ายเดียว ใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันทำไปก่อน สถานการณ์จะดีกว่าวันนี้มาก" ดร.ปาริชาต ระบุถึงต้นตอของปัญหา พร้อมฉายภาพที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน

"สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ณ วันนั้นเป็นข่าวลือ แต่วันนี้เป็นข่าวจริง เมื่อข่าวลือกลายเป็นข่าวจริงก็ย้อนไปดิสเครดิตคนที่คุมนโยบายทั้งหมด ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว แต่เป็นทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน"

ดร.ปาริชาต อธิบายต่อว่า เมื่อเกิดข่าวลือและประชาชนเริ่มไม่เชื่อมั่นภาครัฐ การสื่อสารข้อมูลจึงไหลเข้าไปใน "โซเชียลมีเดีย"

"อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่ข่าวลือที่กลายเป็นจริง จึงเริ่มเห็นการกักตุนน้ำ เตรียมตัวรับน้ำท่วม ทำให้น้ำหายไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ต กลุ่มที่เริ่มขึ้นกระสอบทรายกลุ่มแรกๆ เป็นการส่งสัญญาณไม่ใช่ด้วยวาจา แต่เป็นภาษาการกระทำ ทำไมธนาคารตรงสีลมขึ้นกระสอบทรายตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ก่อน หน่วยงานของรัฐก็ด้วย โรงแรมดังๆ ก็เช่นกัน ประชาชนจึงยิ่งหวาดผวา เป็นภาพจากโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นวิกฤติ"

ดร.ปาริชาต ชี้ว่า แม้สถานการณ์บานปลายมาถึงขณะนี้ แต่ปัญหาเรื่องการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินยังไม่ดีขึ้น และไม่ได้รับการแก้ไข

"ยกตัวอย่างเรื่องของรถ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งบอกไม่ให้เอาไปจอดบนสะพาน บนทางด่วน คนยิ่งเอาไปจอด เพราะประชาชนต้องกระเสือกกระสนเนื่องจากขาดที่พึ่ง สิ่งที่ประชาชนต้องการวันนี้คือความเชื่อมั่น เราไม่สามารถเชื่อมั่นเรื่องการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐได้"

"วันนี้ต้องยอมรับว่าน้ำมาและต้องอยู่กับน้ำอย่างน้อย 1 เดือน แต่มีใครทำหน้าที่บอกกับประชาชนหรือยังว่าเราจะอยู่กับน้ำอย่างไรในแบบที่ เอาสังคมเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง วันนี้เราจึงกำลังเรียนรู้การอยู่กับน้ำแบบเอาตัวรอด ตัวใครตัวมัน สถานการณ์จึงยิ่งวิกฤติกว่าเรื่องน้ำท่วม เพราะขาดทั้งน้ำใจ เจอน้ำเหนือ น้ำเน่า และน้ำลาย"

ยิ่งไปกว่านั้น ดร.ปาริชาต เห็นว่าแม้รัฐบาลจะเริ่มตั้งหลักตอนนี้ก็ยังยาก เพราะข้อมูลข้อเท็จจริงมีหลายชุด

"ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายการเมืองที่ไม่ใช่รัฐบาล กรมชลประทาน หรือนักวิชาการ ต่างมีความจริงคนละชุดกัน และมีข้อเสนอไปคนละทาง ทำให้ประชาชนไม่รู้จะเชื่อใคร ผลจึงไม่ใช่การตื่นตัว แต่เป็นการตื่นตระหนก อย่างตอนนี้ดอนเมืองถูกปิด สนามบินสุวรรณภูมิจะถูกปิดหรือเปล่า ก็เริ่มลือออกมาแล้ว เพราะดูจากการย้ายเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ไม่ได้ย้ายไปสุวรรณภูมิ แต่ย้ายไปที่อื่นที่ไกลออกไป เป็นการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดแต่ทำให้คนเชื่อมากกว่าคำพูด"

"จึงไม่แปลกที่วันนี้คนตื่นตระหนก ไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะแก้ตัว ใครจะขอโทษ ประชาชนคิดแต่ว่าจะอยู่กับสิ่งที่เจออย่างไร และใครจะการันตีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ รัฐบาลออกมาเรียกร้องให้ประชาชนมีสติ แต่จริงๆ แล้วสติตก ตระหนกเพิ่มขึ้น ตระหนักไม่มี เพราะไม่รู้ว่าใครมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างแท้จริง"

เมื่อเกิดวิกฤติซ้อนวิกฤติ ดร.ปาริชาต เสนอว่า ทางออกคือต้องใช้ภาวะของผู้นำทุกระดับด้วยการนำแบบมีสติ

"สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยได้คือการโชว์ภาวะการนำของผู้นำ ไม่ว่าจะระดับชาติ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น ระดับหน่วยงาน หรือแม้แต่โรงงาน ต้องโชว์ภาวะการนำแบบมีสติว่าใครควรทำอะไร เอาข้อมูลมาเปิดกันโดยไม่ใช่การเล่นละครหรือใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการชิง ดีชิงเด่น เอาหน้า เอาผลงาน"

"วันนี้สถานการณ์จริงเป็นอย่างไร คนที่คุมข้อมูลอยู่ได้ข้อมูลจริงทุกมุมหรือไม่ หรือได้เพียงแค่มุมเดียว เพราะมีระบบการบล็อคข้อมูล หรือเป็นข้อมูลที่ตนเองไม่เชื่อ สูตรการคำนวณก็มีหลายสูตร ฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องถกแล้วว่าปัญหาคืออะไร เพราะไม่มีทางเลือก ไม่มีอะไรดีที่สุด ทุกทางต้องเสีย เพียงแต่ทางไหนเสียน้อยที่สุดเท่านั้น จึงเป็นภาวะผู้นำที่จะต้องโชว์ศักยภาพ แต่ถ้าผู้นำออกทีวียังเสียงสั่นเครือ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งหาย"

"ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องเอาข้อมูลมาตีแผ่ หยุดกั๊ก ต้องพูดคุย ต้องยอมเจ็บ ใครจะยอมเจ็บมาก ใครจะยอมเจ็บน้อย ทำอย่างไรให้เกิดคำว่าแฟร์ (เป็นธรรม) ในสูตรแก้วิกฤติไม่มีคำว่าการเมือง ต้องทิ้งการเมือง แล้วร่วมไม้ร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำให้สื่อเห็นแล้วสร้างวาทกรรม และสิ่งสำคัญที่สังคมไทยขาดมากๆ เลยคือวินัย"

ส่วนบทบาทของ สื่อแขนงต่างๆ ดร.ปาริชาต ชี้ว่า น่าจะเป็นช่องทางเสนอข้อมูลบนพื้นฐานของความจริง แต่จากการรับสื่อ เช่น สื่อทีวี จะเห็นว่าประเด็นที่เสนอความจริงได้อย่างดีคือมุมของปัญหาว่ามีปัญหาอะไร เกิดขึ้น แต่มุมที่เป็นทางออกยังต้องตั้งคำถามว่าใครคือเจ้าของสื่อ

"ถ้าเป็นช่องของทหารก็จะเสนออย่างหนึ่ง ทีวีไทยก็อีกแบบหนึ่ง ช่อง 11 ก็อีกแบบหนึ่ง เนื้อหาที่สื่อสารยังขาดความเป็นเอกภาพ ผิดหลักการสื่อสารในภาวะวิกฤติ ฉะนั้นจำเป็นต้องมีผู้นำที่อาจจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำที่คนเชื่อ แล้วบอกว่าประชาชนจะต้องทำอะไรกันบ้าง"

อย่างไรก็ดี ดร.ปาริชาต ยอมรับว่า สถานการณ์ของสื่อขณะนี้มีภาวะแข่งขันกันมาก ต้องเสนอข่าวด่วนสุด เร็วสุด และเป็นดราม่าสุดๆ ฉะนั้นสื่อต้องเปลี่ยนการแข่งขันเป็นความร่วมมือ เป็นสื่อเฉพาะกิจ ไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์ แล้วเสาะหาข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมากๆ มาเผยแพร่ เพราะสื่อเข้าถึงทุกคน ทุกหน่วยงาน

"อยากให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ หรือสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ทำบทบาทตรงนี้ เพื่อสร้างเอกภาพในการนำเสนอข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วว่าน่าเชื่อถือ คนจะได้มีความหวังจากสื่อที่ร่วมมือกันมากกว่าคอยโซเชียลมีเดียซึ่งต้องตรวจ สอบตัวบุคคลที่ให้ข้อมูลว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ"

ดร.ปาริชาต กล่าวด้วยว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ยังยืดเยื้อไปอีกนานและมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการคิดระบบเยียวยาหลังจากน้ำลด เรื่องโรคระบาด ภาวะขาดแคลนอาหาร และปัญหาในระบบเศรษฐกิจ การเงิน ซึ่งจะพึ่งรัฐอย่างเดียวคงยาก ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน แม้จะยังมีความขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันอยู่ก็ตาม

"เราโชคร้ายที่เกิดเรื่องภายใต้ความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นแม้จะนำวาทกรรมสามัคคีขึ้นมาเป็นเกราะ แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังเป็นความขัดแย้ง ต่อสู้ช่วงชิงกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันระหว่างค่ายต่างๆ ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ทำให้มาตรการว่าด้วยการบริหารจัดการวิกฤติที่เคยประสบความสำเร็จในประเทศ อื่นๆ ทั้งอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ไม่สามารถนำมาใช้ในประเทศไทยได้เลย"

"ฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจึงไม่ใช่การจัดฉาก แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจจากใจจริงๆ เราควรหยุดด่า หยุดบ่นกันได้แล้ว และลงมือช่วยกันแก้ไขวิกฤติเสียที" .



ขอบคุณ : ภาพประกอบจากศูนย์ภาพเนชั่น

ที่มา : http://www.isranews.org/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C/item/4102-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3(%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2).html#.TqrNAhI20hE.facebook

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข่าวการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่น่าสนใจ

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา

การตั้งกระทู้นี้ เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

ตามที่ลิงก์ http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6424.0

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความสามัคคีของคนไทย

“ ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องให้ ขอเพียงมีใครปลอบใจสักคน
ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้งบนหนทางไกล

กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิตได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง
กำลังใจจากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝนบนฟากฟ้าไกล ที่หยาดรินสู่ผืน ดินแห้งผาก”




ช่วงนี้บ้านเมืองมีเหตุการณ์ที่ต้องท้าทายความสามัคคีของคนทั้งชาติ นับตั้งแต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงมีคนตาย กลายเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อช่วงสงกรานต์เลือดปีที่ผ่านมา..
ร่องรอยแห่งความสูญเสีย และเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีร่องรอยแห่งความบวบช้ำที่ยังหลงเหลือไออุ่นแห่งเหตุการณ์

แต่หน้าฝนปีนี้ฟ้าฝน หรือกำลังร้องไห้เสียใจ กับเหตุการณ์ที่คนไทยขาดซึ่งความสามัคคี เลย ปล่อยเม็ดฝนเม็ดใหญ่กลายเป็นมวลน้ำมหาศาล ชะล้างทำความสะอาดผืนแผ่นดิน...ที่ร้อนระอุ ไอแห่งความเกลียดชังที่กำลัง ครุกรุ่นที่กำลังมอดหรือจะระอุมาอีกครั้ง

นอกจากน้ำที่มามากมายมหาศาลจะมาทำความสะอาดผืนแผ่นดินด้วยน้ำฝน แต่ก็ทิ้งคราบน้ำตาและความสูญเสียร้อยกว่าชีวิตในหน้าฝนปีนี้...

เราไม่รู้ว่าสิ่งเหลวร้าย บาดหมางจิตใจทางการเมืองจะหมดไปวันไหนจากจิตใจของคนไทย..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ในและหลังเหตุการณ์ ทุกครั้งที่ผ่านมา หลังเหตุการณ์ทางการเมือง คนลุกมาทำความสะอาดบ้านเมือง ช่วยกันปัด กวาด เช็ดถู ถนน อาคาร สถานที่

รวมทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ล้นมากกว่าน้ำที่หลากมา คือน้ำใจ ของคนไทยที่ ที่ช่วยเหลือกัน...


ผมเชื่อว่าน้ำใจของคนไทย..มันจะชโลม โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง..ให้คนไทยที่ประสบอุทกภัยครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะพลัง ความสามัคคี ของคนไทยทั้งชาติ...

ค่ำคืนฝนตกปรอยๆ ณ บ้านผีสิง ลาดพร้าว 130

10 ตุลา

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย

ประวัติ

เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย เป็นโครงการศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล เริ่มแรกพัฒนาโครงการโดยเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นโดยมีห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เป็นผู้พัฒนาพื้นที่โครงการ แต่เนื่องจากทางเครือเซ็นทรัลเห็นศักยภาพของเมืองเชียงรายในอนาคต ซึ่งเป็นพื้นที่ประตูการค้าที่สำคัญของประเทศ เชื่อมโยงการค้าการลงทุน 4 ประเทศ ตามแผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) และสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ไทย ลาว พม่า และจีน หรือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง(GMS : Greater Mekong Sub-region) จึงได้ส่งต่อโครงการให้เซ็นทรัลพัฒนาเข้าพัฒนาโครงการ เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย

เริ่มแรกในระหว่างการพัฒนาโครงการ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นซึ่งจัดตั้งบริษัทตัวแทนจดทะเบียนในนาม บริษัท ไทยพัฒน์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด เข้าซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แต่โครงการได้เลื่อนมาหลายปี เพราะพิษเศรษฐกิจ และปัญหาเรื่องพื้นที่การก่อสร้างอยู่ในเขตพื้นที่สีแดง ห้ามก่อสร้างค้าปลีกเกิน 300 ตรม.ในเทศบาลนครเชียงราย จน ต้นปี พ.ศ. 2553 ภายหลังจึงได้อนุมัติให้จัดสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้ขึ้นได้ โดยไม่เข้าข่ายค้าปลีก และไม่ขัดต่อกฎหมาย โครงการนี้จึงได้ถ่ายโอนมาให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เข้ามาดูแล และจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นดูแลในนาม บริษัท ซีพีเอ็น เชียงราย จำกัด ซึ่งดำเนินการโดยการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (จำกัด) มหาชน ("บริษัทฯ") เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 ในการอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท ไทยพัฒน์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ("บจ.ไทยพัฒน์ฯ") โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 99.99 ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนและ เปลี่ยนชื่อบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 โดย มีการ ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน จากทุนจดทะเบียน 100,000 บาท เพิ่มขึ้น 699,900,000 บาท เป็น 700,000,000 บาท แบ่งออกเป็นจำนวนหุ้น 70,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว สัดส่วนร้อยละ 25% ของทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเงินจำนวน 174,975,000 บาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวมี วัตถุประสงค์เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในอนาคต และดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีพีเอ็น เชียงราย จำกัด และในการนี้ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบริหารโครงการเซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี ด้วย

โดยโครงการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ และ เริ่มก่อสร้าง 29 เมษายน 2553 โดยเปิดให้บริการชาวเชียงราย จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้านตามแนวความร่วมมือในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยจีน พม่า และลาว ในวันที่ 30 มีนาคม 2554 โดยรูปแบบของห้างเน้นสถาปัตยกรรมล้านนา ความอุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือ ด้วยสไตล์บูติก เน้นความโปร่งสบายและอากาศภายนอกเย็นสบายหนุมเวียนเพื่อเพื่มบรรยากาศการจับจ่าย

ข้อมูลตรงนี้ผมเขียนเอง ใน http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2_%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2

'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์ ซีอีโอแสนล้านค่าย Apple ยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์

'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์ ซีอีโอแสนล้านค่าย Apple ยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์

แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา

สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย

กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้

• ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

สตีเฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

เมื่อโตขึ้นจอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้

ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป

• ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง

ในปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ

หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง

ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)

• เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

ในปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!

จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า “มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ

ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน

• พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

เมื่อจอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

เรื่องนี้เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน

แต่แล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง

จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

หลังจากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story

ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple

• ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

เมื่ออายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

จอบส์เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

“วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”

จอบส์พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรงและไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้านและจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”

แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน

ซีอีโอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า

“ไม่มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”

จอบส์ได้เตือนว่า “เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”

ทุกวันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ

9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

ไม่มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า

มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

อย่ามองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

คุณเบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกดดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า เบื้องต้นประเทศจีนมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ไปเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงของ จังหวัดเชียงรายแทน ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นระหว่างประเทศจีนกับประเทศลาว ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนมายังเวียงจันทน์ได้เป็นที่เรียบร้อย

"ตอนนี้การหารือระหว่างจีนกับลาวเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงยังไม่มีความคืบหน้า เพราะทางการลาวยังไม่ยอมรับเงื่อนไขที่จีนต้องการ และไม่ยอมให้จีนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านลาว ดังนั้นทางจีนจึงอาจจะตัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเข้ามาดำเนินโครงการกับทางไทยก่อน โดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อย่นระยะทางจากไทยไปยังจีนให้สั้นลงด้วย สำหรับความคืบหน้าในโครงการดังกล่าวทางตัวแทนจากประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามาหารือกับทางกระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการ"

รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯหนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มีปัญหาเนื่องจากรัฐบาลลาวเกรงว่าทางรัฐบาลจีนจะเข้ามาครอบครองประเทศลาวจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากทางการจีนได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาภายหลังได้ลงนามความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับรัฐบาลลาวแล้ว ทางรัฐบาลลาวจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และส่งผลให้โครงการไม่สามารถวางศิลาฤกษ์ตามที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาให้เรียบร้อยได้

http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

โครงการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ที่สำคัญ

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา



บทความนี้เขียนขึ้น เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6424.0



วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

การให้อภัยในทงฮี

วันนี้หลังสอบที่มหาวิทยาลัย...เสร็จประมาณเที่ยง และนอนประมาณบ่ายสามโมง ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 6 โมง และมีโอกาสดู ทงฮี ปกติไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่แต่ก็ดูบ้าง


วันนี้เป็นวันที่ดูแล้วอิ่มใจเพราะมหเหสี องค์เดิมได้กลับมาที่วังและ คนที่ทำผิดต่างๆก็ได้รับโทษจากความผิดกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้น..

ท่ามกลางการรับกรรมของแต่ละตัวละคร...มีสิ่งหนึ่งที่เห็นในเรื่องนี้และสอนใจเป็นอย่างดี ผมไม่รู้ว่าทุกคนที่ดูสังเกตเห็นหรือเปล่า

คือ "การให้อภัย"

โดยท่ามกลางของโทษที่แต่ละครกำลังได้รับ..เสนาอำมาตย์ต่างๆถูกปลด มเหสีถูกปลดเพื่อให้องค์เดิมได้กลับมา

ในละคร คนที่กระทำผิดถูกประชาชน ที่ถูกกดขี่จากชนชั้นสูง ข้วงปาก้อนหิน ต่างถูก ด่าทอ สาปแช่ง ขว้างปาก้อนหิน เข้าไปที่ไป และมเหสีที่ถูกเนรเทศก็ถูกครหาจากคนในวังเมื่อเสื่อมยศ...


ก่อนที่พระมเหสี องค์เดิมจะกลับมาจะมีการต้อนรับ...องค์ก่อนหน้าที่คอยถูกปลดและจะต้องมีการจัดเลี้ยงต้อนรับ..องค์เดิมกลับมา..

นางในคนสนิทของทงฮี บอกว่าน่าจะให้ องค์ที่ถูกปลดมาจัดงานให้กับองค์ที่จะมารับตำแหน่งเดิม..นางคงช้ำใจน่าดู..นางในคนสนิทกล่าว..

แต่ทงฮีกลับห้ามปรามไว้...

และมีฉากหนึ่งของละครที่ต้องลงโทษ นางใน ซังกุงสูงสูดเดิม...โดยในละคร แต่งตั้งซังกุงสูงสุดแล้ว..จะต้องลงโทษซังกุงและพรรคพวก รวมอีกสองคน..

ฉากในละคร นางในสองคนที่เป็นคนติดตามซังกุงสูงสุดเดิมต่างแสดง ความหวาดกลัว ในโทษสูงสุดคือประหารชีวิต...รวมถึงซังกุงสูงสุดแต่ต่างกันตรงที่ซังกุงสูงสุดคนเดิมไม่แสดงออก คือ ความยังยึดมั่นในศักดิ์ศรี ของตน


ในฉากที่นางเอกต้องลงโทษ....ตรงนี้แหละครับ..ที่ผมอยากบอกเล่ากับทุกท่าน..

นางเอก ถามซังกุงสูงสุด ว่าอยากบอกอะไร..(ผมก็นึกในใจว่านางเอกต้องมีอะไรในใจแน่ๆถึงถามแบบนี้)

อดีตซังกุงสูงสุดบอกประมาณว่า นางบอกว่านางอยากฆ่าตัวตายเองอย่าฆ่านาง ต่อสารธารณะเลย..เพราะนางไม่อยากตายแบบเสียศักดิ์ศรี...

นางกล่าวประมาณว่าที่ทุกอย่างทำไป..โดยทำตามหน้าที่ที่ต้องปฎิบัติตามหน้าที่ ของผู้ส่ั่งการ..(พยามนึกประมาณว่านางยึดมั่นในหน้าที่นะครับ 55)

แต่สุดท้ายนางเอกก็ตัดสิน..นางที่ติดตามอดีตซังกุงสูงสุดพ้นโทษและลดขั้นเป็นนางในขั้น 9

ส่วนอดีตซังกุงสูงสุดก็ให้ลดขั้นเป็น...ซังกุงผู้ตรวจการขั้น 5...


ผมว่าถ้าคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้..ไม่รู้คิดอะไร และเกิดคำถามอะไรขึ้นในใจ..

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม..คือ การให้อภัย...เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากสำหรับนางเอกเรื่องนี้ ทงฮี...

มองถึงคุณธรรม ที่คนในสังคมปัจจุบันขาดไป โดยเฉพาะในบ้านเรานักการเมืองซึ่งบางทีอาจสะกดคำนี้ไม่เป็น...



วันนี้ทุกท่านลอง..ให้อภัย คนที่คุณไม่ชอบเกลียด หรือกระทำผิดต่อคุณ...

ไม่แน่นะครับ...

ผมว่าคุณอาจได้รับความสุขเหมือนดูทงฮีแบบผม :)

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมชาติของความรัก..ที่ยากจะแสดงออกกับคนที่รักเราที่สุด

"คนเราไม่มีอะไรมาก..

ชอบก็คือชอบ

รักก็คือรัก

เป็นห่วงก็คือเป็นห่วง

แต่คนที่เป็นแบบนี้มักไม่ค่อยแสดงออกเป็นการกระทำ..."


ผมดูโฆษณาของ DTAC 3G แล้วทำให้ผมมีความรู้สึก กระอัก กระอวนในหัวใจว่า เฮ้ย ทำไหมมาแนวดราม่า แบบไทยประกันชีวิตเลยวะ...
แต่ผมก็ชอบนะครับ..เพราะผมชอบมุมมองการนำเสนอที่แสดงออกด้วยการกระทำ...และคำพูด

โดยปมของเรื่อง คือพระเอกโฆษณา ตามประสาผู้ชายไม่กล้าแสดงออกซึ่งความรักกับคนใกล้ชิดโดยเฉพาะคนในครอบครัว..แต่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวกลับแสดงออกได้แบบบ้าๆบอๆ หรือเต็มที่กับมันได้ทุกอย่าง ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่โฆษณาขกไปตรงเป้าหัวใจของผู้ชมโฆษณานี้ มันเป็นคำถามที่พระเอกคนนี้ถามได้แทงใจดำคนหลายคน ว่า เออ มันพูดจริงวะ...

มัดเด็ดว่านั้นคือ เรื่องมือถือก็เขาจะขาย 3G ก็ต้องมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องอ่าซิครับถึงเวลาขายของ..หลังจากโดนชกจากคำถามด้านบนแล้ว..

มาถึงช่วงที่จะแสดงออกความรัก..ก็ต้องมีสื่อกลาง คือเทคโนโลยี ซิครับ...

ใช้ส่งวิดิโอ ไปหาแม่แล้วบอกให้แม่ดูแลตัวเอง..และประโยคสุดท้าย..ก็บอกผ่านวิดิโอว่ารักแม่...

ทันใดนั้นแม่ก็มายืนต่อหน้า และกอดกัน....แม้จะไม่ได้จบด้วยการจากไป แต่ก็จบด้วยการจากลาในโฆษณาพระเอกต้องไปเรียนต่อ ตปท...

ผมไม่รู้ว่านี้เป็นกอดครั้งแรกของพระเอกโฆษณาที่ได้กอดแม่หรือเปล่า

นี้ละครับ..ดราม่าแบบไทยๆ ขายได้ทั่วโลก...ผมชอบโฆษณาตัวนี้นะอย่างน้อยก็ตั้งคำถามกับสังคม..ได้เยอะทีเดียวกับโฆษณานี้...

อย่าลืมทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักนะครับ...รีบทำตามเสียงหัวใจ ครับ..

ความดิบของคน กับภาพลักษณ์ ในอุโมงค์ผาเมือง

เคยถามเพื่อนว่า เอย เอ็งตื่นเช้าจังวะ

เพื่อนตอบว่า "ตื่นมารอดูซี่รี่เกาหลี"


เราเพิ่งมาเข้าใจบางอ้อ ของเพื่อน...อย่างนี่ นี้เอง..
เมื่อเจอกับตัวเอง..ว่าทำไหมเราต้องตื่นเช้า
ผมสรุปกับตัวเองว่า
เพื่อนมันมีแรงบันดาลใจนี้เอง...


คนเราต้องหาแรงบันดาล เพราะสิ่งนี้แหละจะทำให้เรา จรรโลงใจ
และมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย...และมีความสุขในแต่ละวัน...
เรื่องราวต่างๆ มันเข้ามาทดสอบความเป็นคนของผมเสมอ
ทั้งเรื่องที่ทำให้พอใจ ดีใจ เสียใจ สมหวัง ไม่สมหวัง...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจาก ความคาดหวังกับคนอื่น และตัดสินในพฤติกรรมของคนอื่น


ผมไปดู หนังเรื่องอุโมงค์ผาเมือง โดย มล.น้อย ดัดแปลงมาจาก วรรณกรรม หม่อมคึกฤทธิ์ เรื่อง ราโชมอน..
หนัง ผูกปมโดย เป็นคดีความอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งคนพูดไม่ตรงกันในคำให้การของจำเลย 3 คน..อีกคนจะเรียกว่าจำเลยก็กระไรอยู่ เพราะเป็นคนทรง...
แต่พูดง่ายๆ คือหนังมีตัวละครคำให้การ 3 คน และมีคนเล่าเรื่อง 3 คน ที่มีมุมมอความคิดเห็นที่แตกต่างกัน..ผมขอยกตัวอย่างบุคคลิกของแต่ละคนดีกว่านะครับ..
แต่ชื่อตัวละครผมจำไม่ได้

๑. มาริโอ(อานนท์) รับ บทเป็น พระ ภาพลักษณ์ คือ นักปฎิบัตธรรม ที่มีคุณธรรมสูง สั่งสอนชาวบ้าน และปมชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์หนังพยายามบอกว่า เขาเห็นสัจธรรม เวียน ว่าย ตาย เกิด และหนังก็พยายามบอกว่า มีจิตใจมุ่งมั่นเพราะต้องการพ้นทุกข์ แม้ถูกเหตุการณ์หรือถูกขัดขวาง จากคนใกล้ชิด คนรอบข้าง


๒.หม่ำ (คนเก็บฟื้น) ตัวเล่าเรื่องที่เป็น ปม และตัวละครสำคัญ ที่เป็นคนธรรมดา แต่มีเรื่องราวสะท้อนในตอนท้าย จนทำให้พระต้อง อึ้งในเหตุผลธรรมดา ที่คนธรรมดา...ทำด้วยเหตุผล = ศีลธรรม.


๓.พงษ์พัฒน์ (สับปะเหร่อ) ภาพลักษณ์ที่ดูไม่ได้เลย..ดูสกปรก น่าตาน่าเกลียด..แต่เขามีความดิบของมนุษย์ สะท้อนมุมมองทุกอย่างตรง..แต่เขาเห็นสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบาย..อยู่กับความเป็นจริง...เจอคำพูดเขาแต่ละคำแรง..ไม่รู้คนไทยรับได้ไหม เพราะคนไทยหน้าบาง...มีศีลธรรมสูง


ส่วนตัวละคร อีกสาม คนหลัก

อนันดา(นักรบ) พลอย (หญิงเมียนักรบผู้สูงศักดิ์ เลอโฉม) คนทรง(ผีอนันดา)
ทุกอย่างถูกนำเสนอด้วยภาพลักษณ์ของตนเอง...ผมบอกก่อนนะครับว่าทุกคนโกหก และมีเหตุผลในการเข้าข้าง..ความคิด..และปกปิดสิ่งไม่ดีของตัวเอง..


แต่ผมไม่มีเวลาเขียนต่อ ต้องออกไปพบเพื่อนแล้ว..
อยากนั่งเขียนให้จบ แนวความคิดเรื่อง ภาพลักษณ์ ใช้ได้กับเรื่องนี้เป็นอย่างดี..
ไว้จะมาเขียนต่อครับ..
ไปเจอเพื่อนละ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

หลักการ กับจินตนาการ.?

เมื่อวานผมนั่งเรียนวิชาการเขียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นวิชาพื้นฐาน หลังจากที่อาจารย์ให้เราๆเข้าไปเขียนสารคดีมาส่ง อาจารย์ได้นำไปตรวจ เสร็จแล้ววันนี้ทุกคนก็มานั่งคุยกัน วิจารณ์งานเขียนของเพื่อนๆ โดยอาจารย์ให้นั่งล้อมวง โดยให้อ่านงานของเพื่อนแต่ละคน
มีของเพื่อนคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเก็บข้อมูลจริงไหมในงานเขียน พออ่านงานเสร็จอาจารย์บอกกับเขาว่า..งานเขียนของคุณเห็นภาพ แต่คุณจินตนาการ มากเกินไป โดยหลักการเขียนสารคดีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจ โดยให้ความเพลิดเพลินแต่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

อาจารย์บอกเพื่อนผมว่าไป ให้ไปเรียนวรรณกรรม เห๊อะ เพราะคุณทำผิดหลักของนัก Journalism คือไม่เขียนตามความเป็นจริง...อย่าใส่ความคิดเห็นมาก อาจารย์ได้ตั้งคำถามเพื่อนผมว่า คุณไปอยู่ในเหตุการณ์เหรอ ถึงอธิบาย คำพูดเหตุการณ์อารมณ์ขณะเขาพูด...(พอดีเพื่อนผมเขาเขียนโดยมีคำในเครื่องหมายคำพูดประมาณว่า "ไอ้สัตว์"")


อาจารย์เลยแนะนำบอกว่าไปเรียนวรรณกรรมเห๊อะ ถ้าชอบจินตนาการ...
เพื่อนผมมันก็ยั่วตามอาจารย์..หรือเกิดอะไรดลใจ เขาไม่รู้ มันก็พร่ำ ว่าตนเองจิตนาการเก่งอยากเรียนวรรณกรรมขึ้นมา...
ผมกำลังจะบอกว่า หลักการ และจินตนาการ มันควบคู่กัน เพียงแต่เพื่อนผมมันใช้ไม่ตรงเวลาเท่านั้น..
ผมไม่ได้บอกว่าจินตนาการไม่ดีนะครับ จินตนาการทำให้เรื่องมันน่าสนใจ...
แต่จินตนาการมันต้องเริ่มก่อนงานเขียน เพื่อออกแบบ งานเขียน ก่อนลงเมื่อเขียน
ส่วนหลักการ คือ แนวทางที่เราเรียนรู้และเดินไปตามหลัก...


ผมอยากบอกเพื่อนผมว่าไม่ต้องไปเรียนวรรณกรรมหรอก เรียนเป็นนักเขียนนี่แหละเพียงเราใช้จินตนาการให้ถูกจุดเท่านั้นเอง...

ชีวิตการเรียนมันสนุกและมีสีสัน..แล้วทุกท่านละครับ..ใช้หลักการหรือ จินตนาการ ในการคิดอะไรๆต่างๆเป็นอันดับแรก.. :)


ภาพและบทความโดย อาณาจักรโกวิทย์

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

การพัฒนาคุณชีวิตผู้สูงอายุ(แบบยั่งยืน) มีมากกว่าระบบรัฐสวัสดิการ

เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้เขียนได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพบรายงานสถิติ ด้านสาธารณะสุขที่น่าสนใจ โดยกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเปิดเผยว่า พลเมืองชาวญี่ปุ่นที่มีอายุเกิน 100 ปี มีอัตราที่เพิ่มติดต่อกันเป็นปีที่ 41 โดยมี อายุเฉลี่ยประชากรอายุเกิน 100 ปี อยู่ที่ 37 คน ต่อประชากร 100,000 คนนอกจากนั้นรายงานข่าวยังกล่าวว่าคนญี่ปุ่นยังมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก ทั้งเพศหญิงและเพศชาย มีอายุเท่ากัน คือ 114 ปี และอายุเฉลี่ยของผู้สูงอายุของชาวญี่ปุ่นมากกว่า 65 ปี อยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนประชากร 128 ล้านคน ส่วนอัตราการเกิดของประชากรญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำสุดของโลก ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลวัยแรงงานในอนาคต

หากดูรายงานที่เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับประชากรโลก รวมทั้งด้านสุขภาพและสภาพแวดล้อมของหน่วยงานแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา (Population Reference Bureau, www.prb.org) ซึ่งสรุปจะพบว่า โครงสร้างประชากรของประเทศพัฒนาแล้วกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เป็นพีระมิดฐานกว้างด้วยจำนวนประชากรอายุน้อย กลายเป็นพีระมิดกลับหัวที่ฐานจะแคบลงอย่างมาก จากอัตราการเกิดที่ลดลง และยอดพีระมิดขยายกว้างขึ้นด้วยจำนวนประชากรอายุมากเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการพัฒนาประเทศ ความเจริญทางด้านสาธารณสุข และระบบด้านสาธารณะสุขที่ดีขึ้น ซึ่งในประเทศไทยก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันแม้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว

ผู้เขียนมองเรื่องมิติการการลดประชากรที่เกิด กับ การเพิ่มของผู้สูงอายุ ในบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ได้ 2 ประเด็น กล่าวคือ

ประเด็นแรก มองกลุ่มสูงอายุเป็นภาระของสังคม หรือครอบครัว ในอนาคต จากการที่จำนวนประชากร จากการเกิดที่ลดลง เมื่อเทียบกับวัยสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ที่จะส่งผลกระทบต่อเรื่องเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชากร ดังนั้น ภาครัฐ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม จึงอาจต้องพยายามมีมาตรการทางสังคม เพื่อเข้ามารองรับประเด็นตรงนี้อย่างชัดเจนกับในการดูแลผู้สูงอายุ โดยเป็นระบบรัฐสวัสดิการ เช่น ระบบบำนาญ ประกันสังคม กองทุนต่างๆ รวมถึงระบบสาธารณะสุข ที่เฉพาะเจาะจงมาดูกลุ่มบุคคลเหล่านี้

ประเด็นที่สอง ในทางกลับกันหากเชื่อว่าทรัพยากรมนุษย์(Human Resources) เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ขึ้นอยู่กับการบริหารและการจัดการ ผู้สูงอายุก็เฉกเช่นเดียวกัน คือ เป็นบุคคลที่มีคุณค่า และประประโยชน์ต่อสังคม หากแต่ต้องมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และด้านเศรษฐกิจ โดยให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคม และเศรษฐกิจ เพราะกลุ่มบุคคลเหล่านี้ต่างมีประสบการณ์ในชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างง่ายๆ เช่น หน่วยงานด้านแรงงานอาจสนับสนุนส่งเสริมการทำงานอาชีพที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย หรือ รัฐอาจมีมาตรการหลายประการ เช่น ขยายอายุเกษียณของการทำงานเพื่อให้คนทำงานยาวนานขึ้น หรือ อาจต้องมีการรณรงค์ ให้ประชาชนออมเพื่อวัยเกษียณที่ยั่งยืนของตนเองด้วยการ อาจมีการให้มาตรการจูงใจทางภาษีต่าง ๆหรือ รณรงค์ ให้ครอบครัว สังคม ซึ่งจะต้องให้ความรักความเอาใจใส่ มีการเกื้อหนุนดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน สังคมให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ เช่นงานประเพณีต่างๆ หรือในอนาคต อาจมีการสร้างนโยบายสาธารณะเพื่อผู้สูงอายุ โดยเน้นให้ทุกคนในชุมชน หรือสังคม มีข้อตกลงทางสังคมร่วมกัน รับหลักการเดียวกันในการที่จะปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนในชุมชน หรือสังคมมีสุขภาพที่ดี เช่น การกำหนดนโยบาย ไม่ให้มีการทอดทิ้ง ผู้สูงอายุในชุมชน นโยบายครอบครัวอบอุ่น เป็นต้น


ดังนั้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอาจเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความสมดุลระหว่างประชากรที่เกิดที่มีอัตราต่ำและอัตราผู้สูงอายุที่สูงขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ของผู้สูงวัย ให้กลุ่มคนเหล่านั้นมีคุณค่า และมีมาตรการเชิงรุก เช่น การฝึกให้ช่วยเหลือตนเองได้ เช่นการออม หรือ โดยมีการรงค์ทางสังคม ในนโยบายภาค รัฐ ภาคประชาสังคม ชุมชน ครอบครัว ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจะเป็นส่วนหนุนเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต เมื่อเขารู้จักช่วยเหลือตนเอง ส่วนมาตรการทางระบบรัฐสวัสดิการ ประกันสังคม อาจเป็นเพียงมาตรการเสริม ก็เป็นไปได้หากเขารู้จักรับผิดชอบและดูแลตนเองได้ ปัญหาการเกิดที่ลดลง คนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั้งที่ ญี่ปุ่น และทั่วโลก อาจไม่เป็นปัญหาต่อไปก็ได้

อย่าลืมไปนะครับ..เราทุกคนตอนนี้ยังหนุ่มสาว..สักวันเราก็ถึงวัยสูงอายุ...มาร่วมสร้างสังคมให้เกิดสุขสมวัย เพื่ออนาคตมั่นคงของชีวิตสูงวัย ข้างหน้าตั้งแต่วันนี้พร้อมๆกันครับ..


โดย อาณาจักรโกวิทย์

นโยบายปรับค่าแรง 300บาท กับ อาชีพนักศึกษาและผู้ค้าแรงงานส่งตัวเองเรียนราม

นโยบายปรับค่าแรง 300บาท กับ อาชีพนักศึกษาและผู้ค้าแรงงานส่งตัวเองเรียนราม


หากกล่าวถึงเรื่องการเมืองหลังการเลือกตั้ง นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหยิบยกและเร่งดำเนินการ โดยหน้าข่าวสื่อพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วงนี้น่าจะเป็นประเด็น ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนขั้นต่ำ 15.000 บาท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี


ถ้ามองนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จากมุมมองนายจ้างเสียงส่วนมาก อาจถูก ต่อต้านจากสถาบันอันเป็นตัวแทนของทุนใหญ่ อย่างเช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ฯลฯ ในเรื่องต้นทุนการผลิต ที่สูงขึ้นรวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการลงทุนของต่างชาติ


แต่ถ้าหากมองในเสียงสะท้อนจากผู้ที่ใช้แรงงาน ก็อาจมีคำตอบอีกคำตอบหนึ่งที่อาจตรงกันข้ามกับฝั่งนายจ้าง
วันนี้ได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งทำงานด้วยเรียนไปด้วยหลากหลายอาชีพ ด้วยกัน ที่มีมุมมองความคิดเห็นต่อนโยบายเรื่องนี้ของรัฐบาล


พนักงานร้านไอศกรีมชื่อดัง และหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยห้างสรรพสินค้า หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า “ทุกวันนี้ได้ค่าแรง วันละ 27 บาท ต่อชั่วโมงมาทำงานที่ร้านไอศกรีม คาดหวังว่าจะได้ค่าแรงวันละ 300 บาทเหมือนกัน เพราะมาทำงานที่นี้ นอกเวลาทำงานปกติ ปกติทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัย โดยได้เงินเดือน 8,400 บาท ซึ่งเฉลี่ยกันแล้วไม่ถึงวันละ 300 บาท ต้องทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน”

โดยกล่าวว่าอยากได้ค่าแรงสูงขึ้น แต่ต้องรอรัฐบาล เพราะเขาไม่สามารถต่อรองกับนายจ้างได้ ต้องช่วยเหลือตนเอง นอกจากทำงานปกติ ต้องมาทำงานนอกเวลา ชั่วโมงละ 27บาท วันละ 4 ชั่วโมงเพื่อให้มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายทั้งการเรียนและใช้จ่ายต่างๆ เช่นในชีวิตประจำวันและส่งกลับบ้าน


มงคล พนักงานร้านสะดวกซื้อ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำสนับสนุนเต็มที่ เพราะปกติก็ทำงานเฉลี่ยรายได้ทำงานปกติวันละ 8 ชั่วโมง โดยมีวันหยุดหนึ่งวันก็มีรายได้ไม่ถึงวันละ 300 บาท เมื่อรวมหนึ่งเดือนก็ไม่ถึง 9,000 บาท โดยหากต้องการมีรายได้มากขึ้น ต้องทำงานเพิ่มวันหนึ่งถึง 12 ชั่วโมง

มงคล กล่าวต่อไปว่า การขึ้นค่าแรงสนับสนุนเต็มที่ แต่อาจกระทบกับนายจ้างบ้าง เช่น เรื่องบริหารจัดการที่สูงขึ้น ร้านมีกำไรน้อยลง ถ้าได้ 300 บาทต่อวัน ส่งผลดีต่อเขา เพราะได้ทำงาน 8 ชั่วโมง อาจไม่ต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อต้องการรายได้ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย โดยเขายังได้มีเวลาพักผ่อน และใช้ชีวิตส่วนตัวบ้าง

หากการนำเสนอค่าแรงขั้นต่ำให้อยู่ที่ 300 บาทต่อวัน เป็นเป้าหมาย เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของ ผู้ใช้แรงงาน และนำไปสู่การปรับโครงสร้างค่าแรงให้สอดรับและใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริง นโยบายนี้จะเป็นไปได้จริง หรือไม่ อาจต้องมีการเจรจาหลายๆฝ่ายทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยรัฐบาลเป็นคนกลางดุแลประชาชน แต่ตอนนี้ ผู้ใช้แรงงาน และนักศึกษาที่ทำงานควบคู่กันไปด้วย ในส่วนบริษัททุนใหญ่ๆ ที่มีผลประกอบการณ์ต่อปีสูง รอบมหาวิทยาลัยรามคำแหง ต้องการมากที่สุด คือ คุณภาพชีวิต ที่ดีที่ควรได้รับจากการทำงานและเหลียวแลจาก นายจ้างและรัฐบาล ในสวัสดิการแรงงานที่เขาควรได้รับ.


โดย อาณาจักร โกวิทย์

เซ็นทรัลพลาซาเชียงราย

โครงการเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงรายมองได้หลายมุมมอง และหลายมิติกล่าวคือ เรื่องความเจริญ ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเมือง เรื่องสิ่งแวดล้อมโครงการใหญ่ๆย่อมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ตัวอาคารจะเข้ากับสถาปัตยกรรมล้านนา ในความเป็นเมืองวัฒนธรรมของเชียงรายหรือไหม ฯลฯ ย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อโครงการนี้เกิดขึ้น ชาวเชียงรายจะปรับตัวอย่างไร ลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่ชาวเชียงรายควรติดตาม เพราะจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีผลต่อการพัฒนาเชียงรายแน่นอน เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของเอกชน...


ขอเชิญทุกท่าน ร่วมแลกเปลี่ยน และติดตามการพัฒนาโครงการนี้พร้อมๆกัน ให้กระทู้เล็กๆ นี้ได้พูดคุยในมุมมองของทุกท่านอย่างสร้างสรรค์

สุดท้าย ผู้รวบรวมต้องขอบคุณแหล่งข่าว สมาชิกทุกท่าน ผู้อ่าน ที่สำคัญพี่ๆนักข่าวทุกท่าน ที่ติดตามข่าวและมีข่าวปรากฎเสนอตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลง ส่วนภาพต่างสามารถนำไปเผยแพร่ได้ ตามสบาย ครับ

เซ็นทรัลพลาซาเชียงราย


ที่ตั้ง : ถนนพหลโยธิน
เจ้าของโครงการ : บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
มูลค่าโครงการ : 2,400 ล้านบาท *
เนื้อที่โครงการ : 52 ไร่
พื้นที่โครงการ : 100,000 ตารางเมตร
โครงการแล้วเสร็จ : 3 ธันวาคม 2552
• แหล่งรวมแฟชั่นแบรนด์ดังจากทั่วมุมโลกกว่า 200 ร้านค้า
• ลิ้มรสความแปลกใหม่กับสไตล์อาหารที่ไม่จำเจกับสุดยอดเมนูอาหารจากร้านอาหาร
นานาชาติชั้นนำกว่า 30 ร้าน
• ตื่นตาตื่นใจกับความบันเทิงที่ทันสมัยครบวงจร โรงภาพยนตร์ 4 โรง, Karaoke และ Games
• ตอบทุกไลฟ์สไตล์ รองรับทุกความต้องการกับ Robinson, Tops Market, Power Buy, B2S, SuperSports, Fashion Plus, E-center และ Food Park
• สุดยอดทำเลที่ตั้งบนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (พหลโยธินสายใหม่) กว้าง 10 เลน และถนนพหลโยธิน สายเก่า กว้าง 2 เลน รองรับการเดินทางสะดวกสบายสู้โครงการทั้ง 2 เส้นทาง
• เพียง 2 กิโลเมตรจากใจกลางเมือง
• เพียง 10 กิโลเมตรจากสนามบิน
• อยู่ในตำแหน่งที่เป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดทั้งหมด รวมทั้งเป็นเส้นทางการค้าสู่ประเทศจีน และ กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Corridors)



• นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้เชียงรายเป็น GMS Corridors (Greater Mekong Subregion) เส้นทางการค้าสู่ประเทศจีนและกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย
• สามารถเดินทางสู่โครงการผ่าน ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (พหลโยธิน สายใหม่ ), ถนนพหลโยธินสายเก่า, สถานีรถไฟ, ท่าอากาศยานจังหวัดเชียงราย (10 กม.) และเส้นทางรถประจำทาง
• ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของจังหวัด อาทิวัดร่องขุน ไนท์บาซาร์ และ พระธาตุดอยตุง
• ล้อมรอบด้วยสถานที่ สำคัญต่างๆ เช่น โรงแรม 4-5 ดาว 12 แห่ง, มหาวิทยาลัย และ
วิทยาลัย 5 แห่ง, สถานประกอบการกว่า 3,500 แห่ง


ภาพสะท้อนของวัฒนธรรมล้านนากับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่ควบรวมความทันสมัยไว้บน สถาปัตยกรรมภายนอก และบรรยายภายในอย่างกลมกลืนทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Eco-Friendly โดยนำแสดงจากธรรมชาติ และอากาศเย็นภายนอกมาหมุนเวียนเพื่อให้ความรู้สึกผ่านคลายและเพิ่ม บรรยากาศในการช้อปปิ้ง


ท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมผมรวบรวมไว้ที่ เว็บเชียงรายโฟกัส

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4578.0



โดย อาณาจักรโกวิทย์

พฤติกรรมการใช้เฟชบุ๊ค( Facebook ) กับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสื่อสาร




หากมีอาจารย์ในชั้นเรียนกล่าวคำถามในชั้นเรียนว่า ใครใช้บริการ เฟซบุ๊ค(Facebook )บ้าง? ถ้ามีนักศึกษาคนใด คนหนึ่งในชั้นเรียน ตอบว่า ไม่เคยใช้ เฟซบุ๊ค คงเป็นคนที่ล้าสมัย เพราะคนส่วนมากใช้ บริการเฟซบุ๊ค เป็นช่องทางในการติดต่อ สื่อสารกันในปัจจุบัน
บริการเฟซบุ๊ค(Facebook ) เป็นหนึ่ง ในบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์(Social Network) เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2004 โดยผู้คิดค้นคือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยปัจจุบัน เฟชบุ๊คได้รับความนิยมทั่วโลก หากเข้าดูข้อมูลในเว็บ www.checkfacebook.com ที่เป็นเว็บสำหรับแจ้งผู้ใช้บริการของบริษัทแห่งนี้ ยอดข้อมูลผู้ใช้บริการเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมจะมียอดผู้ใช้บริการทั่วโลก มีมากถึง720,584,160 ล้านคน ใน ส่วนผู้ใช้บริการในไทยมีมากถึง11,698,220 คน


ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี และใช้บริการ เฟซบุ๊ค ตามกระแสคนที่ใช้เทคโนโลยีทั่วไป โดยมีบุคคลทีรับเป็นสมาชิก 981 คน ผู้เขียนใช้เป็นช่องทางในการติดต่อ สื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างบุคคลที่รู้จัก ผู้เขียนเฝ้าสังเกตพฤติกรรมสมาชิกที่ใช้เฟชบุ๊คสามารถวิเคราะห์บุคคลที่ใช้ เฟชบุ๊ค เป็นช่องทางในการสื่อสารแล้ว แบ่งประเภทตามกลุ่มคนที่ใช้งาน พบว่า มีดังนี้
1. กลุ่มคนที่ใช้เป็นช่องทาง มุ่งแสดงความคิดเห็นทัศนะของตนเอง หรือ การพรรณนา เช่น พรรณนาตัวเอง รำพึงรำพันตนเอง หรือ ความรัก ฯลฯ อาจเป็นข้อความสั้นๆ หรือ บทกลอน ซึ่งกลุ่มนี้จะเน้นไปทางด้านการบันเทิงมากกว่า
2. กลุ่มคนที่เก็บกด หรือ กลุ่มที่อยากแสดงความสามารถ คือ ใช้เป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ระบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง ใช้สื่อเป็นช่องทางปลอดปล่อยเรื่องบางเรื่องพูดไม่ได้ เช่น เกลียดคนนั้น แอบชอบคนนั้น เบื่อเจ้านาย หรือ บอกข้อดีของตนเอง ความสามารถพิเศษ ฯลฯ
3. กลุ่มคนที่ชอบสื่อสาร หรือเรียกได้ว่านักสื่อสาร โดย รับความรู้ใหม่ๆ หรือมุ่งเน้นให้ความรู้ คือ ใช้ติดต่อสื่อสาร คุยเรื่องงาน สนทนาทั่วไป เขียนบทความ หรืออัพเดตข่าวสาร ใหม่ๆ เช่น ข่าว การท่องเทียว ความสวยความงาม การเรียน กิจกรรมทำร่วมกัน หรือแม้แต่เขียนงานวิชาการ ฯลฯ
4. กลุ่มคนที่ขายสินค้าและบริการ เช่น อาชีพรับจ้างโพสข้อความ การตลาด ฝ่ายประชาสัมพันธ์สินค้าต่างๆ ฯลฯ
5. กลุ่มใช้เป็นแสดงออกทางเพศ เช่น หาแฟน หาสามี หาภรรยา หากิ๊ก และกลุ่มที่ขายบริการ ฯลฯ
6. กลุ่มคนที่สมัครไว้เล่นเกม
7.กลุ่มคนสมัครไว้โพสรูปภาพ สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ดอกไม้ ผู้คน ฯลฯ
8.พวกสมัครไว้ตามกระแส ขอให้มีไว้ก่อนไม่เชย
9.ใช้สำหรับที่ทำงาน ในการติดต่อประสานงาน หรือเผยแพร่ข่าวสาร
10. กลุ่มที่สมัครไว้เฉยๆ ไม่เล่น แต่คอยสังเกตพฤติกรรมของสมาชิก และรับข่าวสาร

โดยการใช้งานในแต่ละประเภทเป็นไปตามลักษณะความเชื่อ ประสบการณ์ เพศและอายุ ของผู้ใช้แตกต่างกันไป แต่ผู้เขียนสนใจว่า เฟชบุ๊ค ทำให้เกิดสังคมออนไลน์(Social Network) ที่ใหญ่มาก โดยทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป เทคโนโลยีก่อนหน้านี้มี โทรศัพท์ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในด้านการติดต่อสื่อสาร คือใช้ สนทนากัน ข้ามข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ เวลา โดยขยายการสื่อสารการได้ยินของมนุษย์ และเสียค่าบริการแก่ผู้ให้บริการ และปัจจุบัน เฟชบุ๊ค ได้เข้ามาเป็นสิ่งที่จำเป็น หนึ่งในการสื่อสาร ที่สะดวกกว่าโทรศัพท์ โดยใช้สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ มือถือที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน (smart phone) หรืออุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารของผู้คนเปลี่ยนไป คือ เกิดหลอมรวมเทคโนโลยี (convergence technology )และมีกลุ่มที่เรียกว่าสังคมออนไลน์ :ซึ่งจะคอยกำหนดและหล่อหลอม วิธีคิด กรอบความเชื่อ ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีเปลี่ยนนี้เอง มีสำนักด้านการสื่อสารซึ่งได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไว้ได้อย่างสนใจ คือ ทฤษฎีสำนักโตรอนโต ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี อธิบาย ว่า
เทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นพื้นฐานของทุกสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน
เทคโนโลยีการสื่อสารแต่ละชนิดก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างสังคมที่ต่างชนิดกัน
ขั้นตอนของเทคโนโลยีการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การคิดค้น ,การขยาย ,การควบคุม
ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ เทคโนโลยีการสื่อสาร สังคมมีการปฏิวัติ
ผลกระทบการสื่อสารเปลี่ยน สำนึกเรื่องเวลา ,สำนึกเรื่องพื้นที่,ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ผู้เขียนหยิบยกทฤษฎีนี้มากล่าวอ้าง เพราะ เฟซบุ๊ค ถือว่าเป็น เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลง คือ ทำให้เกิดการปฏิวัติทางการสื่อสาร เพราะคนจะสื่อสารกันได้รวดเร็วขึ้น และมีเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น จนมีนักวิชาการสำนักนี้กล่าวว่าเป็น หมู่บ้านโลก คือ เทคโนโลยีการสื่อสาร ยุคที่โลกจะใหญ่ขนาดไหน แต่ก็ถูกย่อให้มีขนาดเล็ก คือคนบนโลกสามารถเสพข่าวสารได้เหมือนกัน หรือ เสพวัฒนธรรมร่วมกันได้ โดยมีองค์ประกอบของ คือ ข้อมูลเหมือนๆกัน พร้อมเพรียงกัน และทันทีทันใด


ผลทีเกิดขึ้นตามมา คือ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ ของผู้ใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกจะถูกยุบรวมกัน คือคนเราจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และข้ามประเทศ ข้ามวัฒนธรรมกันมากขึ้น ความแตกต่าง และความเหมือนทางความคิดจะมีมากขึ้น ภายใต้ ความรวดเร็ว ข้อมูลที่มาพร้อมเพรียงกัน และมาเหมือนกัน และคนที่เล่นเฟชบุ๊ค ใช้สื่อมากขึ้น แลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ดังนั้นการตัดสินในของคนก็อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร เมื่อสื่อและช่องทางการสื่อสารเฟชบุ๊คมีอิทธิพลมาก แม้เฟซบุ๊ค จะมีประโยชน์ ต่อการสื่อสาร ขณะเดียวกัน ก็มีผลกระทบตามมาเฉกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ เฟชบุ๊คเข้ามาแทรกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คนและสังคมเริ่มเข้าสูยุคแห่งข่าวสาร คือ การตัดสินใจทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางสังคมออนโลน์ สังเกตง่ายๆว่า เช้าๆ บนรถโดยสารสาธารณะ หรือรถไฟฟ้า จะเห็นผู้คนอยู่กับมือถือ หรือเครื่องมือสื่อสารเพื่อดูข่าวสาร หรือ อ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคม


ในอดีตสื่อใช้เป็นเครื่องมือมากมาย เช่น ในการเมืองในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว อิตเลอร์ ใช้สื่อวิทยุ และภาพยนตน์ในการปลุกระดมให้คนเยอรมันลุกมาเข่นฆ่าชาวยิว หรือ ใน อเมริกายุคหนึ่งคนอเมริกาแตกตื่น มนุษย์ต่างดาว บกโลก โดยคนเชื่อข่าวรายการวิทยุ หรือยุคที่ละครทีวีและภาพยนตน์ เจริญก้าวหน้า ก็มีคำถามตามมามากมายเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อที่มีผลต่อความรุนแรงของคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน หรือการเข้ามาของโลกออนโลน์ ในเทคโนโลยีร์ ผ่านคอมพิวเตอร์ ก็มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมากมาย ว่ามีทั้งด้านดี และด้านลบ แน่นอนสื่อนอกจากเป็นเครื่องมือการสื่อสาร ติดต่อระวังกัน อย่างลืมไปว่า คนที่เข้ามาสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตเฟซบุ๊ตก็มีหลายประเภท เฉกเช่นเดียวกัน เหมือนที่ผู้เขียนได้หยิบยกแยกประเด็น ประเภทคนที่เล่นเฟซบุ๊ค ว่าแต่ละคนที่เล่นมีเป้าประสงค์ต่างกัน ที่ชัดเจนมากที่สุด คือ กลุ่มที่เข้ามาค้าสินค้าและบริการ เขาย่อมมีเป้าประสงค์ในการขายสินค้าของบริษัทของเขา หรือ .กลุ่มคนที่เก็บกด หรือ กลุ่มที่อยากแสดงความสามารถ ก็อยากแสดงให้เห็นการยอมรับ.


ที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมา เพื่อแสดงให้เห็นว่า การที่เราจะเลือกใครเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ ในเฟซบุ๊ค เรารู้จักเขาดีพอ หรือ เราเปิดรับเพื่อนใหม่เพราะอะไร ?และสิ่งที่ผู้เขียนอยากตั้งคำถามมากที่สุดคือ ผู้ใช้ที่เล่นเฟซบุ๊ค ตอนนี้เท่าทัน เทคโนโลยี เท่าทัน เฟซบุ๊คมากน้อยเพียงใด หรือเราเป็นผู้ใช้มัน หรือตอนนี้เราถูกเฟซบุ๊ตมันใช้งานเราอยู่ จนเป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้ามาออนไลน์เสมอ เพื่อยอกกับใครๆว่าเราคิดเราทำอะไร หรือ ตอนนี้เราอยากเป็นบุคคลสาธารณะ สื่อหล่อหลวมเรา หรือเราจะเป็นผู้กำหนด ตัวเรา...


โดย อาณาจักรโกวิทย์...

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าใน ตลาดบางกะปิ.

เรื่องเล่าใน ตลาดบางกะปิ...




คุณคิดว่าคนที่ขายของในตลาดสดทุกเช้าเป็นเป็นคนไทยไหม


ในตลาดสดสมัยก่อนเช้าๆ อาชีพที่ค้าขายขนแบก หาบ ขนสินค้าต่างๆ สมัยก่อนเป็นคนจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ปัจจุบันสังคมมีเปลี่ยนแปลงไป คุณคิดว่าใคร จะมาทำหน้าที่แบบนี้แทนคนไทย ที่ไม่ทำงานด้านนี้มันดูไม่มีศักดิ์ศรี เมื่อคนจีนร่ำรวยและเลิกทำแล้ว

ภายในสถานที่เปียกแฉะ ชื้นและมีกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กลิ่นอาหาร เสียงคนทำกับข้าว เคาะกระทะ ผัดอาหาร กลิ่นคลุ้งอบอวลทั่วตลาด เสียงคนเรียกลูกค้าเข้าร้าน ผู้เขียนได้ไปซื้อของในตลาดแห่งนี้มีโอกาสเจอผู้คนมากมายหลากหลาย ในตลาดบางกะปิ แต่ผู้เขียนไปสะดุดหู กับคนที่พูดไม่ชัด มีทานาคา สีเหลือง ที่ใช้หวี ทำเป็นแฉก วางกดทับหลายๆครั้งจนเป็นจุดวงกลมหนา ซึ่งเป็นเครื่องประทินผิว ที่เป็นที่นิยมของชาวพม่า ผมลองจึงสอบถาม และได้พูดคุยกับเขา ตอนที่คุยกันเขาไม่มีท่าที่ที่ตื่นเต้น หวาดกลัว เหมือนที่ผมเคยคุยกับคนต่างด้าวที่มาทำงานในเมืองไทยที่ผมเจอ โดยเขามีชื่อว่า นินี

นินี เป็นชาวพม่าเมือง ปากู ภาคกลางของพม่า อายุ 35ปี เขามีชื่อเล่นภาษาไทยว่า เอ๋ เขาเป็นลูกจ้างร้านขายของชำที่ตลาดบางกะปิมาแล้วหลายสิบปีเขาบอกว่า ที่ตลาดแห่งนี้มีแรงงานพม่าเยอะ.โดยส่วนใหญ่ รับจ้างทั่วไป มีตั้งแต่แบกน้ำแข็ง ขนผัก ขายเนื้อ ขายหมู ขายไก่ ขายของชำทั่วไป โดยเป็นอาชีพรับจ้างทั่วไปในตลาด ซึ่งตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกันแล้ว
เอ๋ เขาเล่าว่า เขาทำงานที่ตลาดบางกะปิ เขาชอบมากเพราะมีของกินของใช้ให้เลือกมากมายต่างจากเมืองที่เขาอยู่ ผู้คนก็น่ารัก เจ้านายก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี โดยเขาเล่าให้ฟังว่าค่าแรงที่นี้เขาทำตั้งแต่นายจ้างให้ค่าแรงเดือนละ 350 (สามรายห้าสิบบาท) ตอนนี้เขาได้ค่าจ้างวันละ 200บาทแล้ว เดือนหนึ่งก็ตก 6,000 บาท เขาเล่าว่าที่นี้ค่าแรงแพงกว่าที่พม่าเยอะมาก ที่โน้น ค่าแรงสูงสุดวันละ 80 บาทและต้องทำงานหนักมาก ที่นี้ เช่นน้องเขาทำงานที่โรงงานผลิตน้ำดื่มได้เงินน้อยและหนักกว่าเมืองไทยมาก เขาจึงพาน้องเขามาอยู่ที่ตลาดลาดแห่งนี้ด้วย

เขาเล่าว่าเขาเข้ามาเมืองไทย ที่แม่สอด จังหวัดตาก ตอนนั้นลำบากมาก เขาเล่าพร้อมกับน้ำตาว่า “ลักลอบเข้ามากับรถบรรทุกโดยสารที่ถูกดัดแปลงให้คนอยู่บนบนรถคับแคบมากและคลุมผ้าอย่างดีรถแออัด เบียดกัน แออัด มืดไร้แสงที่จะเล็ดรอดเข้ามา” เขาบอกกับผมพร้อมน้ำตาว่า “รถที่เขานั่งมาด้วยนั้นมีคนตายด้วยเพราะขาดอากาศหายใจ คนที่ตายนายหน้าก็โยนศพเขาก็ทิ้งไว้ข้างทางเส้นทางระว่างแม่สอด- ตาก เอ๋ เล่าต่อ เขาโชคดีที่ไม่ตาย และรถผ่านด้านตำรวจมาได้ เขาเล่าว่าเขาได้ยินข่าวเพื่อนที่ตามมาที่หลังต่อเจ้าเขาถูกจับ และทราบมาทีหลังว่าโดนติดคุกสองปี เอ๋เสริมว่า ขแหล่านั้นเสียโอกาสในการทำงานโดยที่คนทางบ้านไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำและรอคอยเงินเพื่อส่งกลับมายังบ้าน..



หลังจากที่เอ๋ได้มาทำงาน โดยนายหน้าพามาพบนายจ้าง เอ๋บอกว่าตอนนี้เขามีความสุข เขาซื่อสัตย์ต่อเจ้าของร้านไม่เคยขโมยเงิน ตอนนี้นายจ้างก็ไว้วางใจเขาให้ดูแลร้าน กว่าจะมาเจอนายจ้างดีๆ ที่ตลาดบางกะปิเขาเปลี่ยนนายจ้างมากว่า 10 คน จนกว่าจะได้เจอนายจ้างดีๆ เขายังเล่าว่าชาวพม่าเพื่อนเขาหลายคนในตลาดแห่งนี้ปัจจุบันใครจะมาทำงานที่เมืองไทยต้องจ่ายค่านายหน้า 16000 บาท โดยให้นายจ้างหักจากเงินเดือน



ชิด ชายหนุ่มวัย 27 ปี เคี้ยวหมาก ริมฝีปากแดง ฟันไม่เป็นสีดำ แต่มีคราบสีชา ของหมากเคลือบฟันอยู่ รูปร่างเขาสันทัด ผิวเหลือง ดูสะอาดสะอ้าน กว่าอีกสองคนที่มาจากเมืองปากู ที่ผมได้คุยด้วย พอได้คุยเลยได้ทราบว่าเขามาจากเมืองหลวงเก่าของพม่าคือเมืองย่างกุ้ง เขาเป็นแรงงานพม่าอีกคนที่มาทำงานในกรุงเทพ โดยเขาแปลกกว่า 2 คนที่ผมได้คุยด้วย คือเขาทำหนังสือเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว และลักลอบอาศัยอยู่ในไทย ให้เพื่อนหานายจ้างให้จนตอนนี้เขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานถูกกฎหมายแล้วเขาเล่าว่าถ้ามีเงินหน่อยเข้ามาเมืองไทยง่ายแต่จะทำงานเมืองไทยต้องมีคนรู้จัก เขาได้นายจ้างที่ทำงานตลาดบางกะปิ ขาจึงขายของร้านขายเครื่องใช้ในครัวเรือน เขาเล่าว่าเขาอยากกลับบ้านมากเพราะแม่เขาป่วย แต่นายจ้างไม่ให้กลับและยึดบัตรเอกสารทางรายการเกี่ยวกับเขาไว้หมด ทำให้เขาไม่ได้กลับ...เขาอยากกลับบ้านมาก...จะกลับก็กลับไม่ได้ถ้าไม่มีเอกสาร เขาอาจต้องโดนจับ และก็ติดคุก..เขาเล่าว่า ที่จริงเขาก็ไม่อยากกลับเพราะงานที่ทำในเมืองไทยสบายที่เขาทำอยู่ร้านชำ ไม่ต้องแบกหามมาก สบายกว่างานที่ประเทศเขาที่ต้องแบกหาม หามรุ่งกามค่ำ รายได้ก็ก็เยอะกว่า..งานก็มีทำมากมายมี คนก็มีอิสระ ข้าวของกินก็มีมากมาย


สู่ ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆ เขาอยู่เมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก..สู่ มาทำงานเมืองไทย โดยเป็นพ่อครัวอยู่ร้านอาหารตามสั่งในตลาดบางกะปิ เขาเล่า อย่างยิ้มแย้ม สายตาเป็นเป็นมิตรฉายแววแห่งความสุข เขาบอกว่าเขาทำงานที่นี้ บ่ายสองโมง ถึง เที่ยงคืน มีวันหยุดหนึ่งวัน โดยเขาอยู่พักอาศัยกับเจ้าของร้านโดยได้เงินเดือน 6,500 บาท เท่าที่ผมสังเกตเขาเป็นชาวพม่าที่ดูแล้วน่าจะมีการศึกษาที่ดีหน่อยเพราะสังเกตในมือเขามีเอกสารอยู่ฉบับหนึ่ง เขาเล่าว่าเป็นหนังสือพิมพ์พม่า ซึ่งจะมีคนนำมาขายในตลาดไม่ใช่ใครที่ไหน คือเอ๋ นั้นเอง โดยเอ๋ รับมาจากนายจ้างที่ไปซื้อ และนำมาขายให้กับชาวพม่าที่สนใจเรื่องราวในพม่า โดยจะไม่ออกประจำเดือนหนึ่งอาจมี 1-2 ฉบับ สู่บอกกับผมว่าที่เขาอ่านเพราะทำให้เขารู้ความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ในประเทศเขาและทำให้หายคิดถึงครอบครัวเขา.


บางครั้งคนไทยเรารักความสะดวกสบายมากเกินไป คนที่เขาลำบากมากกว่าเราก็มีมากกมาย แต่เขาก็มีความสุขได้ท่ามกลางความลำบาก คนจีนสมัยก่อนที่มาอยู่เมืองไทย เก็บออมเล็กผสมน้อย สมัยนี้เป็นคนที่ร่ำรวยระดับประเทศ เจ้าของกิจการระดับโลก ระดับประเทศหลายคนที่ควบคุมเศรษฐกิจของคนไทย ไม่แน่นะครับคนพม่าที่ขยัน อดทน และทำงานส่งเงินกลับประเทศ ในอนาคตเขาอาจเป็นเหมือนคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ คือ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แม้บางครั้งจะมีคราบน้ำตาที่เขาสนทนากับผมก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเขาก็สุขตามอัตภาพของเขาได้ นี้คือเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในตลาดบางกะปิตลาด เราคนไทยแบบเราๆละครับ..วันนี้เรายังรอเงินเดือนภาครัฐ ค่าจ้าง 300 บาท หรือเราจะทำงานก้มหน้าก้มตาม ทำอะไรก็ทำเหมือนที่คนพม่าเขาทำอยู่ตอนนี้....


โดย อาณาจักร โกวิทย์

วันที่ ทำอะไรแล้วเหนื่อย แต่ใจชุ่มปอด..:)

"ทุกคนพยายามหาว่าความสุขอยู่หนใด
ทุกคนพยายามหาว่าความสุขเป็นตัวอย่างไร...
และหลายคนอยากมีความสุข....
มันจะดีไม่น้อย...ถ้าเราสามารถอยู่กับความสุขนั้น...โดยที่เราไม่โหยหา พยายามที่จะมีความสุข...
แต่ทุกคนสร้างมันขึ้นมาได้..ภายในใจของเรานี้เอง.."







วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุข อีกหนึ่งวันเพราะผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ คือ นำความรู้วิชาที่ตนเองได้เรียนมาแบ่งปันให้กับเพื่อนร่วมเรียน


บรรยายกาศวันนี้ ๑๙ กันยายน เป้นวันที่ทุกคนไม่มีเรียน แต่หลายคนต้องมามหาวิทยาลัย เวลา๙ โมง ตอนแรกผมนึกในใจว่าคงไม่มีใครมากมายหรอก

แต่ทุกคนทยอยมามีคนมาติวครั้งนี้ เกือน ๑๕ คน...

สิ่งที่ผมนึกสิ่งแรก จะติวกันตรง เพราะที่เรานัดกันไว้ที่ตึกแสบ(Sbb) ผมว่ามันค่อนข้างเป็นพื้นที่เปิด..หลายคนยังไม่มีสมาธิในการติวแน่ๆ ผมจึงบอกเพื่อนๆ..ให้รอก่อนผมกำลังจะไปขอห้องแอร์ปรับอากาศ เพื่อให้เพื่อนผมได้ติวกันอย่างมีสาธิและอากาศไม่ร้อน แต่น่าเสียดายเพราะวันนี้ ห้องไม่ว่างมีติวกฎหมายสำหรับนักศึกษา อีกกลุ่มหนึ่ง

แต่ไม่เป็นไร (ผมนึกในใจ) เรามีพื้นที่ศูนย์ฯ(ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ใต้ตึกแสบ) บรรยากาศน่าจะเป็นสถานที่เงียบ...

ก็ได้เริ่มเวลาติวแล้วหลังจากที่ได้พื้นที่...วิชาที่เราติวกัน มีวิชา การเขียน 202 201 101 เขียนสามวิชาเลย..

การติววิชาแรกมันใช้เวลามาก เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานอีกหนึ่งวิชาการเขียน เราจึงใช้เวลานานพอควร..ที่สำคัญผมอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของการมีส่วนร่วมเป็นอย่าง...

ผมจึงเหมือนแกนนำกระบวนการเพื่อให้ทุกคนแชร์...ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีบทบาท และที่สำคัญการสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นเป็นกัน...ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อน พี่น้อง ที่มาติวรู้สึก..อย่างไร...


สิ่งที่ผมเห็นวันนี้...นอกจากมาติวกัน..ทุกคนมาด้วยความหวัง..ว่า อยากได้แนวข้อสอบ...ว่าจะออกอะไรบ้าง..
แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น คือ..ความรู้ ที่เราจะเอาไปตอบข้อสอบ..มันสำคัญมากกว่า...แนวข้อสอบ..

วันนี้ผมจึงพยามให้เพื่อนๆหลายคนช่วยแชร์...และให้หลักการเขียน..แนวทางการเขียน..ข้อสอบ..มันสำคัญมาก..

การติวนั้น จริงๆแล้วมัน คือการแลกเปลี่ยน ว่าคุณเข้าใจ ว่าอย่างไร ในประเด็นนั้น..เพื่อนๆก็มาแชร์ ว่าสิ่งที่คุณพูดมันใช่ไหม..บางครั้งเราอาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม...จากเพื่อนก็ได้..สิ่งนี้มันสำคัญและวิเศษมาก กว่าการทำความเข้าใจด้วยตนเอง...นี้คือเสน่ห์ของการติว...


วันนี้ผมพูดมาก...และเจ็บคอมาก..เพราะต้องแข่งกับเสียงพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนกัน...
แต่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย..เพราะผมเต็มที่ เต็มใจ ที่อยากมาแลกเปลี่ยน..

ในใจผมยิ้ม อยู่เสมอ...ผมมองแววตาเพื่อน พี่ น้อง...ภาพของเขาติดตามผม...ผมต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ทำให้หัวใจผมชุ่ม..ด้วยน้ำใสใจจริง จากเพื่อน...


และผมอยากบอกว่า..การเรียนสิ่งสำคัญที่สุด คือ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน...ถ้าวันหนึ่ง..ลองนึกดูถ้าเราประสบความสำเร็จในชีวิต..ถ้าเรายืนสูง อยู่คนเดียว..ผมว่ามันหนาวนะ....